เงินๆ ทองๆ ที่เป็นกับดักสังคมไทยๆ

ผู้ที่รู้จักการลงทุนทางเลือกอื่นๆ เช่นลงทุนในตราสารหนี้ ลงทุนในตราสารทุน ลงทุนในอนุพันธ์ หรือลงทุนในสินทรัพย์ประเภททองคำหรืออสังหาริมทรัพย์ มากกว่าเพียงฝากเงินออมทรัพย์กินดอกเบี้ยซึ่งเดี๋ยวนี้เหมือนจะไม่มีดอกงอกเงย

มักทำหน้าตื่นตะลึงปนสังเวชเมื่อใครสักคนเอ่ยว่า ลงทุนแบบอื่นไม่เป็น ไม่เคยลงทุนแบบอื่นนอกจากฝากเงิน และไม่แน่ใจว่าจะมีเงินใช้พอหลังเกษียณในวัยหกสิบหรือไม่ หากไม่มีรายได้ต่อเดือนอีกแล้ว

เงินเก็บของคนกลุ่มหลังนี้รวมกับเงินประกันสังคม ถ้ามีถึงหลักล้าน ก็มักเป็นหลักล้านอ่อนๆ ซึ่งเท่าที่เคยมีผู้คิดตัวเลขออกมา เงินหลักล้านอ่อนๆ นี้ไม่เพียงพอสำหรับคนอายุหกสิบที่อาจมีอายุต่อไปได้อีกประมาณยี่สิบปี โดยสามารถเจ็บป่วยได้บ้างทั้งเล็กน้อยและมาก

แย่กว่านั้นคือ คนอีกจำนวนมากในวัยเดียวกัน ซึ่งอาจโชคร้ายไม่ได้ทำงานประจำที่เดียวเป็นเวลานานจนมีเงินประกันสังคมระดับหนึ่ง ก็อาจมีเงินเก็บไม่ถึงหลักล้าน ซึ่งไม่ใช่พวกเขาฟุ่มเฟือยครั้งหนุ่มสาวหรือไม่รู้จักออมเงิน แต่เพราะพวกเขาต้องใช้จ่ายเงินในการดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้องอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไม่มีลูกหลานดูแลตนเอง หรือมีลูกน้อย และลูกยังมีรายได้น้อยเพราะเพิ่งเข้าสู่วัยทำงาน

Advertisement

ฟังดูน่าสังเวช แต่เมื่อคิดดูดีๆ เราอาจเกิดความเข้าใจ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบกับการศึกษาระดับปริญญาตรีเมื่อหลายทศวรรษก่อนซึ่งไม่ใช่ทุกคนมีโอกาสได้เรียน และเป็นที่รู้กันว่าไม่ใช่ความผิดหรือความโง่ของคนไม่มีโอกาสเรียน

เมื่อประมาณสี่สิบหรือห้าสิบปีที่แล้ว คนส่วนใหญ่ของยุคนั้นซึ่งกำลังก้าวเข้าสู่สังคมคนชราของประเทศไทยยุคนี้ ยังไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนให้เงินงอกเงยในลักษณะอื่นนอกจากออมเงินปกติ เว้นแต่ผู้ที่อยู่ในอาชีพที่เกี่ยวข้องกับแวดวงการเงิน หรืออยู่ในเครือข่ายของผู้มีโอกาส มีความรู้เรื่องการลงทุน

รวมถึงมีเงินจำนวนหนึ่งพอลงทุน

Advertisement

คนส่วนมากมักวุ่นวายอยู่กับค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ดูแลครอบครัว เลี้ยงลูก เลี้ยงดูพ่อแม่ เลี้ยงลูก ซึ่งแทบจะใช้เงินเดือนชนเดือน เหลือเป็นเงินออมหรือซื้อประกันชีวิตซึ่งจะให้ดอกผลภายหลังเป็นจำนวนเล็กน้อย

พวกเขาไม่เคยได้รับการฝึกฝนให้เป็นเจ้าของกิจการเอง หรือให้ตระหนักถึง “การลงทุน” ประเภทใช้เงินต่อเงินอย่างจริงจังมาก่อน ซ้ำหลายคนยังได้รับการสอนว่าเงินๆทองๆ เป็นเรื่องอันตราย เป็นเรื่องของพ่อค้า มันเกี่ยวข้องกับความโลภ ไม่ใช่เรื่อง “พอเพียง” สำหรับคนดีแบบไทยๆ

สังคมคนดีแบบไทยๆ ไม่อยากจะยอมรับว่าเราอยู่ในสังคมโลกที่ใช้เงินเป็นตัวขับเคลื่อน

หลายปีก่อนหน้านี้ กระทั่งการเล่นหุ้น ยังเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับอาชีพนักข่าวเพราะเหตุที่นักข่าวมีโอกาสรู้ข้อมูลภายในก่อนคนอื่น นักข่าวที่ได้เงินจากการเล่นหุ้น ย่อมตกเป็นผู้สงสัยว่าทุจริตต่อวิชาชีพ

ผู้เขียนไม่เคยเล่นหุ้น แต่มีเงินออมปกติ (ไม่มาก) และเงินในลักษณะลงทุนอยู่บ้าง (ไม่มาก) ซึ่งลักษณะลงทุนก็เพิ่งมาทำในระยะหลังนี้ เพราะผู้เขียนเองก็เคย “เชยมาก” ติดกับดับ “เกลียดทุนนิยม” อยู่นาน

ความเชื่อประเภทที่ว่าการคิดถึงเงินๆ ทองๆ ไม่ใช่เรื่องของคนไทยดีๆ แต่เป็นเรื่องของพวกพ่อค้าหน้าเลือด มีอิทธิพลไม่น้อยในสังคมปากว่าตาขยิบแบบไทยๆ ซึ่งแน่นอนพวกปากว่าตาขยิบย่อมไม่ทำอย่างปากพูด แต่พวกที่ออกแนวซื่อๆเซ่อๆ ย่อมซื่อๆ เซ่อๆ พอที่จะก้มหน้าก้มตาทำงานรับเงินเดือนมีชีวิตเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงลูกอย่างพอเพียงไปตามวิถีที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมา

กว่าพวกเขาจะมีเวลาเงยหน้าขึ้นมาเห็นความเป็นจริง โลกที่พวกเขาเคยคุ้นก็ทะยานไปไกลกว่าเดิมมากแล้ว กล้วยหวีละหกสลึงกลายเป็นหวีละสามสิบห้าบาทถึงแปดสิบบาทแล้ว ลูกๆหลายคนที่เคยช่วยกันเฉลี่ยรายได้เลี้ยงพ่อแม่ก็กลายเป็นลูกน้อยคนแล้ว และเมื่อถึงรุ่นของพวกเขาเอง หลายคนก็ไม่มีลูกมาช่วยเลี้ยงดูพวกเขาในยามชราแล้ว

ยิ่งถ้าพวกเขาไม่ใช่ข้าราชการที่พอจะมีสวัสดิการ ชีวิตพวกเขาคือแทบไม่เหลือความมั่นคงใดๆ

ครั้นมองเงินออมในธนาคารเพื่อซื้อความมั่นคงในชีวิตที่เหลืออยู่ พวกเขาก็ต้องตกใจว่ามันแทบไม่มีความหมาย มูลค่าของมันน้อยเกินกว่าจะซื้อห้องเล็กๆ ในบ้านพักคนชราแสนอบอุ่นอย่างที่โฆษณาออกสื่อ หลายคนกลายเป็นคนเมืองที่มีสินทรัพย์เพียงบ้านหลังน้อยและที่เท่าแมวดิ้นตาย

เงินออมที่นึกว่าเคยมีอยู่มากกลายเป็นน้อยเสียแล้ว ส่วนที่เคยมีอยู่น้อยก็แทบจะเหมือนไม่มีเสียแล้ว

ง่ายที่จะประณามว่าพวกเขาโง่ แต่ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่ากับดักความเชื่อแบบไทยๆ มีส่วนทำให้พวกเขาโง่ และนับเป็นโชคดีที่คนรุ่นใหม่ไม่โง่อย่างนั้นแล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image