| ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ |
|---|
แท็งก์ความคิด : แผนฉีด‘วัคซีน’
เรื่อง วัคซีนโควิด-19 ยังเป็นเรื่องฮิตในหมู่คนไทยขณะนี้
ยิ่งปรากฏข้อมูลชัดว่า วัคซีนต่างๆ ที่อยู่ในประเทศสามารถฉีดได้ ความต้องการยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
ยิ่งสื่อต่างๆ ออกมารณรงค์ให้คนไทยฉีดวัคซีน ยิ่งเพิ่มกระแสความต้องการ
และยิ่งปรากฏการณ์ระบาดยังทำให้คนเจ็บและทำให้คนตายอยู่เนืองๆ
วัคซีนจึงกลายเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา
แต่ด้วยเหตุที่วัคซีนเป็น “วัคซีนแบบฉุกเฉิน” ผู้ผลิตไม่กล้ารับประกันผลข้างเคียง จึงยอมขายให้เฉพาะรัฐบาลแต่ละประเทศเท่านั้น
ทำให้ช่องทางนำเข้าวัคซีนมีเพียงช่องทางเดียว
ฝ่ายรัฐบาลก็เกรงว่าคนไทยจะเสี่ยง เพราะวัคซีนเป็นของใหม่ จึงกล้าๆ กลัวๆ
กว่าจะตัดสินใจอนุมัติให้นำเข้าได้ ต้องฟังความรอบด้านจนแน่ใจจึงไฟเขียว
วัคซีนแทนที่จะไหลบ่าเข้าประเทศ จึงกลายเป็นเข้ามาแบบกะปริบกะปรอย
และยังต้องรอคิวหลังจากได้จอง เนื่องจากผู้ผลิตมีไม่กี่เจ้า แต่ทุกประเทศทั่วโลกต้องการ
วัคซีนในช่วงแรกจึงเป็นของหายาก
สำหรับประเทศไทย เดิมทีคนยังกล้าๆ กลัวๆ ความต้องการวัคซีนยังไม่ชัดแจ้ง
ยิ่งมีข่าวผลข้างเคียงซึ่งเกิดแก่ผู้ฉีดในล็อตแรกๆ ยิ่งทำให้หลายคนเฝ้ารอเพื่อความแน่ใจ
แต่เมื่อข้อมูลปรากฏออกมาชัดว่าฉีดวัคซีนปลอดภัย และเกิดกระแสวัคซีนคือทางออก
ทุกวงการต่างเพรียกหาวัคซีน
ภาระหนักจึงกลับไปตกอยู่ที่รัฐบาลอีกรอบ
ทำอย่างไรจึงจะกระจายวัคซีนให้ทั่วถึง ทันเหตุการณ์ และเท่าเทียม
ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ได้ประชุมกับทีมหัวกะทิ
สรุปสถานการณ์การระบาดรอบที่ 3 เมื่อสัปดาห์ก่อน
พบว่ามีการระบาดหนักในเรือนจำ และพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล
ในเรือนจำมีผู้ต้องขังติดโควิด-19 กันกว่าหมื่น
ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็มีติดเชื้อใหม่กันเป็นร้อย
ที่ประชุมได้สรุปสถานการณ์ และกำหนดวิธีการคลี่คลายสถานการณ์
แนะนำวิธีแก้ปัญหาการระบาดในเรือนจำ
ให้ใช้วิธีตรวจเชิงรุก จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม คัดแยกผู้ป่วยอาการเบา-อาการหนัก
แนะนำวิธีการแก้ปัญหาการระบาดในกรุงเทพฯและปริมณฑล
ให้ใช้วิธีตรวจเชิงรุก คัดแยกผู้ป่วย ส่งตัวรักษา และระดมฉีดวัคซีนในพื้นที่เสี่ยง
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ได้กำหนดช่องทางการกระจายวัคซีน
แบ่งออกเป็น 3 ช่องทาง
ช่องทางที่หนึ่ง ผ่านระบบ “หมอพร้อม”
โหลดแอพพ์ “หมอพร้อม” แล้วเข้าไปลงทะเบียน
ใครมีปัญหาเรื่องการใช้ออนไลน์ สามารถติดต่อโรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือปรึกษากับ อสม.ได้
ช่องทางนี้ทำให้ผู้ลงทะเบียนเลือกว่าจะไปฉีดวัคซีนวันไหน และสถานพยาบาลอะไรได้
กลุ่มแรกที่ลงทะเบียนไปแล้ว คือกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค 16 ล้านคน
และในวันที่ 31 พฤษภาคม จะให้ผู้อายุต่ำกว่า 60 ปี ได้ลงทะเบียน
ช่องทางที่สอง เปิดให้ลงทะเบียน ณ จุดบริการฉีดวัคซีน หรือ “On-site Registration”
วิธีนี้คนลงทะเบียนจะได้ฉีดวัคซีนก็ต่อเมื่อมีวัคซีนเพียงพอ ณ จุดบริการนั้น
เพราะวัคซีนที่เบิกมาฉีด ต้องใช้ให้หมดภายในวันนั้น
หากคนที่นัดมาฉีด พอถึงเวลาแล้วไม่มา วัคซีนที่เตรียมไว้จะนำไปฉีดให้คนกลุ่มนี้
ช่องทางที่สาม การกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์
เจาะจงที่กลุ่มเสี่ยง ฉีดคนในพื้นที่เสี่ยง หรือพื้นที่เศรษฐกิจ
กลุ่มคนที่อยู่ในข่าย ประกอบด้วย บุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรด่านหน้า อสม. ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พนักงานด้านการบิน
รวมถึง ครู อาจารย์ แท็กซี่ และจักรยานยนต์รับจ้าง พนักงานรถไฟและรถไฟฟ้า พนักงานโรงแรม ผู้แทนการทูตและองค์กรระหว่างประเทศ
นักธุรกิจและนักเรียน นักศึกษาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ พนักงานในโรงงาน คนพิการ พนักงานภาคบริการอาหารและยา และกลุ่มอื่นๆ ที่จำเป็นต้องฉีด
สำหรับกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม มีประชากร 5.7 ล้านคน พล.อ.ประยุทธ์กำหนดให้ฉีดให้ได้ 5 ล้านคน ภายใน 2 เดือน
หรือฉีดให้ได้ 70 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนประชากร
หมายความว่าเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม คนกรุงเทพฯจะได้รับฉีดวัคซีน
ตั้งเป้าว่าหลังเดือนกรกฎาคม กรุงเทพฯจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้น
ข้อมูลดังกล่าวไม่ได้บอกปัจจัยสู่ความสำเร็จ
แต่คาดเดาได้ว่า แผนกระจายวัคซีนจะสำเร็จก็ต่อเมื่อ หนึ่ง มีวัคซีนเพียงพอ สอง มีคนทำหน้าที่ฉีดวัคซีนเพียงพอ สาม มีสถานที่รองรับ และสี่ มีคนยอมฉีดวัคซีน
ขณะนี้อยู่ในช่วงเพรียกหาวัคซีน ประเด็นเรื่องคนมาฉีดวัคซีนไม่น่าเป็นปัญหา
ส่วนประเด็นสถานที่ฉีควัคซีน หลังจากภาคเอกชนเสนอตัวเข้ามาช่วย ทุกอย่างน่าจะปลอดโปร่ง
จึงเหลือแค่ จำนวนวัคซีน และจำนวนบุคลากรที่ทำหน้าที่ฉีด
ถ้าสองประการนี้จัดการได้ แผนฉีดวัคซีนก็มีโอกาสสัมฤทธิผล
ขอเอาใจช่วยรัฐบาล ขอให้ปฏิบัติการบรรลุผล
ถ้าแผนบรรลุเป้าหมาย ประเทศไทยจะได้ไปต่อ
คนไทยจะได้มีความหวัง
บ่วงบาศโควิด-19 ที่ผูกมัดจะได้ถูกปลดออกเสียที
