ยังไม่ทันที่การยื่นหนังสือขอยุบพรรคประชาชนปฏิรูปจะมีผลทางกฎหมาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็อ้าแขนต้อนรับและจัดสรร ให้ นายไพบูลย์ นิติตะวัน อยู่ในฝ่ายกฎหมายพรรคพลังประชารัฐ
จะมองว่าเป็นความคล่องตัวที่ดำรงอยู่ภายในพรรคพลังประชารัฐก็ย่อมได้
เพราะบุคคลที่ออกปากเรื่องนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ดำรงอยู่ในสถานะเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคพลังประชารัฐ
จะสั่งซ้ายหัน ขวาหันภายในพรรคพลังประชารัฐย่อมราบรื่น สะดวกง่ายดาย
กระนั้นที่ไม่ควรลืมก็คือยังไม่มีคำวินิจฉัย “ยุบพรรค”
หากรับฟังความเห็นจากไม่ว่า นางสดศรี สัตยธรรม ไม่ว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ซึ่งล้วนเคยรับผิดชอบงานสำคัญในฐานะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)
แม้การสั่งยุบพรรคการเมืองจะมิได้เป็นเรื่องสลับซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อเสนอมาโดยพรรคการเมืองพรรคนั้นเอง
แต่ประเด็นอันเป็นข้อห่วงใยยังอยู่ที่ความต่อเนื่องและผลสะเทือน โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงรัฐธรรมนูญ คำนึงถึงกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้โครงสร้างของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 อันมีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญฉบับอื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคิดคะแนน “บัญชีรายชื่อ”
ตัวอย่างสดๆ ร้อนๆ ก็คือผลสะเทือนจากการเลือกตั้งที่เขต 8 เชียงใหม่ ที่พรรคอนาคตใหม่ได้ ส.ส. 1 คน อันทำให้พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคละ 1
ขณะเดียวกัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทรักธรรมก็มีอันต้องหมดสมาชิกภาพไปโดยอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่เพิ่งได้มาไม่นานจากสูตรการคำนวณแบบพิสดาร
คำถามก็คือ คะแนนของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน จะทำเช่นใด
ท่าทีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หากจะมองจากการเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคพลังประชารัฐ ก็พอจะเข้าใจได้
แต่อย่าลืมตำแหน่งเมื่อครั้งอยู่ในคสช.
นี่คือจุดอันเปราะบางยิ่งของดุลแห่งอำนาจในทางการเมือง