ที่มา | สกู๊ป หน้า 1 มติชนรายวัน |
---|---|
เผยแพร่ |
ร้อนแรงไม่แตกต่างจากภาพยนตร์ดังอย่างอินเดียน่า โจนส์ สำหรับการลักลอบนำออกซึ่งโบราณวัตถุล้ำค่าทางภาคอีสานในยุคสงครามเวียดนาม
ก่อนจะมาโผล่ในโลกออนไลน์เมื่อมีผู้โพสต์ข้อความอ้างถึงบริษัทเอกชนนำประติมากรรมสัมฤทธิ์ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นพระอวโลกิเตศวร อายุราว 1,200 ปี จากปราสาทปลายบัด อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ มาประมูลขายในราคาตั้งต้นกว่า 1.4-2.1 ล้านบาท กลายเป็นกระแส ‘ทวงคืน’ กลับบ้านเกิด
ส่งผลให้กรมศิลปากรก็แอ๊กชั่นด้วยการติดต่อประสานงานไปยังกระทรวงการต่างประเทศเพื่อหาช่องทางการติดตามโบราณวัตถุล้ำค่าคืนมายังประเทศไทย
ทว่าหนทางนั้นนอกจากไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบแล้ว ยังเต็มไปด้วยขวากหนามในอุโมงค์ดำมืด เนื่องจากไร้ซึ่งหลักฐานการ (เคย) มีอยู่ของโบราณวัตถุดังกล่าว โดยเฉพาะภาพถ่ายเก่า ซึ่งเคยเป็นกุญแจสำคัญในการทวงคืนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์จากสหรัฐอเมริกาสำเร็จมาแล้วเมื่อ พ.ศ.2531
หากย้อนไปดูเรื่องราวการหายไปของประติมากรรมชุดที่แสนจะซับซ้อนซ่อนเงื่อน เริ่มจากการหมุนเข็มนาฬิกากลับไปในยุคสงครามเวียดนาม ซึ่งภาคอีสานของไทยส่วนหนึ่งกลายเป็นพื้นที่สีชมพูค่อนไปทางสีแดง คือ เป็นเขตคอมมิวนิสต์ยึดครอง ไล่เลียงเหตุการณ์ตั้งแต่กรกฎาคม พ.ศ.2501 ไทยเปิดถนนมิตรภาพสู่อีสาน สร้างด้วยทุนสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ครั้น 20 ตุลาคม ปีเดียวกัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ปฏิวัติตัวเอง ครองบัลลังก์อำนาจเต็มตัว
มีนาคม พ.ศ.2503 ไทยเปิดฐานทัพอากาศ 3 แห่งในอีสาน โดยสหรัฐหนุนหลังได้แก่ นครราชสีมา, อุดรธานีและอุบลราชธานี
พ.ศ.2504 สหรัฐเข้าสู่สงครามเวียดนามอย่างเป็นทางการ สร้างถนนไฮเวย์ขนระเบิดจากตะวันออกสู่อีสานและในที่สุด พ.ศ.2507 สหรัฐฯส่งทหารอเมริกันตั้งฐานทัพในไทยไปทิ้งระเบิดเพื่อนบ้าน
ช่วงเวลานี้เองที่เชื่อว่าประติมากรรมสัมฤทธิ์นับร้อยองค์จากปราสาทลึกลับนามว่าปลายบัด ถูกขนออกนอกประเทศ
แต่กว่าจะได้มาซึ่งโบราณวัตถุล้ำค่าเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนในเครื่องแบบทั้งฝรั่งและไทยที่ร่วมกันปล้นขุมทรัพย์อีสานในยุคนั้น ต้องหาทางพังปราสาทให้ได้เสียก่อน จึงจะนำประติมากรรมออกมาได้
วิธีการเริ่มจากใช้ลวดสลิงขนาดใหญ่ฉุดส่วนยอดชั้นซ้อนของปราสาท แต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายเลยวางระเบิดสถาปัตยกรรมล้ำค่าจนพังพินาศ แล้วเข้าไปขนโบราณวัตถุมหาศาล ไม่ทราบจำนวนชิ้นอย่างชัดเจน แต่ที่แน่ๆ ไปโผล่ในยุโรปราว 300 องค์ โดยเชื่อว่าทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์จากปราสาทพนมรุ้งก็ถูกขนไปในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ตัดฉากมาที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเดนเวอร์ สหรัฐอเมริกา ภัณฑารักษ์สาวนามว่า เอ็มม่า ซี บังเกอร์ เกิดคลางแคลงใจในที่มาของประติมากรรมชุดนี้ จึงหิ้วกระเป๋าเดินทางข้ามโลกมาถึงประเทศไทย เพื่อสำรวจพื้นที่แล้วตีพิมพ์บทความในนิตยสาร อาร์ต ออฟ เอเชีย ค.ศ.1970 พร้อมภาพประกอบคือปราสาทปลายบัด และประติมากรรมสัมฤทธิ์ที่อยู่ในต่างประเทศซึ่งมีทั้งพระโพธิสัตวอวโลกิเตศวร และพระเมไตรยะ เป็นต้น
ต่อมา ไมเคิล ไรท์ ฉายาฝรั่งคลั่งสยาม เก็บความมาตีพิมพ์เป็นภาษาไทยในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม เมื่อเดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2545 พร้อมเพิ่มเติมความเห็นส่วนตัวว่าประติมากกรมเหล่านี้เป็นศิลปะชิ้นเอกของโลก แต่ถูกอำพรางโดยคนพื้นเมือง อาชญากรระหว่างประเทศ และเจ้าของใหม่ในต่างแดน
สำหรับความสำคัญของประติมากรรมชุดนี้ รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง บอกว่าเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงนับถือพุทธศาสนานิกายมหายานในภาคอีสานของไทยตั้งแต่สมัยโบราณ รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการหล่อสัมฤทธิ์ในยุคประวัติศาสตร์รุ่นแรกๆ อีกด้วย ส่วนการประมูลในลักษณะนี้ ต่างชาติทำเป็นเรื่องปกติ การเรียกร้องทวงคืน คงเป็นเรื่องยาก เพราะไม่มีหลักฐานแน่ชัด อาทิ ภาพถ่ายเก่าในไทยก่อนถูกโยกย้ายไปต่างแดน
สอดคล้องกับความเห็นของสุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์ด้านประวัติศาสตร์ผู้มีบทบาทในการทวงคืนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่เลือกใช้คำว่า ‘มองไม่เห็นอนาคต’
อย่างไรก็ตาม ภายในความมืดมิด อาจมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อทนงศักดิ์ หาญวงษ์ นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีในแถบอีสาน เสนอไอเดียที่ว่าควรนำปราสาทปลายบัดเสนอเป็นมรดกโลกร่วมกับเส้นทางอารยธรรมปราสาทหินพิมาย พนมรุ้งและเมืองต่ำ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการด้านเอกสารในขณะนี้
โดยมองว่า หากได้เป็นมรดกโลก การทวงคืนโบราณวัตถุกลับมา จะมีความเป็นไปได้มากขึ้น การที่จะได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั้น ต้องมีงานค้นคว้าวิจัยสนับสนุน ด้วยเหตุนี้ทนงศักดิ์จึงมีความเห็นว่า กรมศิลปากรต้องส่งเสริมการขุดค้นพื้นที่บริเวณปราสาทปลายบัดอย่างจริงจัง
ทว่า มณฑิรา หรยางกูร อูนากูล ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรม องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ให้ความเห็นในเชิงหลักการว่า การเป็นมรดกโลกไม่ได้ส่งผลในเรื่องการทวงคืนโบราณวัตถุ แต่เน้นเรื่องการปกป้อง อนุรักษ์พื้นที่ประวัติศาสตร์มากกว่า ส่วนการคุ้มครองโบราณวัตถุเป็นอีกขบวนการหนึ่ง ซึ่งยูเนสโกมีกฎหมายอีกฉบับ คือ The UNESCO Convention 1970 หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองโบราณวัตถุจากการลักลอบค้าโดยผิดกฎหมาย แต่ประเทศไทยไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาดังกล่าว จึงไม่สามารถใช้มาตรการภายใต้กฎบัตรได้
หากโบราณวัตถุถูกนำออกนอกประเทศอย่างผิดกฎหมาย ก็สามารถดำเนินการทวงคืนได้ แต่ต้องมีหลักฐานยืนยันการเป็นเจ้าของ
ดังนั้น ปัญหาจึงวกกลับมาสู่จุดเดิม คือคำยากมาก ถึงมากที่สุด
ประเด็นนี้จึงเป็นสิ่งที่ควรขบคิดกันต่อไป เพราะประติมากรรมสัมฤทธิ์ชุดนี้ไม่ใช่โบราณวัตถุชุดแรก และคงไม่ใช่ชิ้นสุดท้ายที่จะถูกนำออกประมูลขายโดยบริษัทต่างชาติ แม้รู้ทั้งรู้ว่าเคยอยู่ในเขตแดนไทย
แต่การนำกลับมาสู่บ้านเกิดนั้น ยังคงเป็นปัญหาที่รอทางออก