ที่มา | คอลัมน์ มติชนมติครู |
---|---|
ผู้เขียน | ผศ.ธนภณ สมหวัง |
เมื่อพิจารณาในแง่ประวัติความเป็นมาแล้ว อาจกล่าวได้ว่า สังคมสงฆ์ หรือ ชุมชนสงฆ์ นั้น เป็นสังคมจัดตั้งที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก นั่นคือ เป็นสังคมที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งมานานกว่า 2,500 ปี
สังฆะ หรือ สงฆ์ ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงปฐมเทศนาชื่อธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์จบลง อัญญาโกณฑัญญะ หนึ่งในปัญจวัคคีย์ได้ดวงตาเห็นธรรม (ธัมมจักษุ) และได้ทูลขออุปสมบทกับพระพุทธองค์ และได้กลายเป็นภิกษุสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาในฐานะสังคม หรือชุมชนมีองค์ประกอบครบถ้วนเป็นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เหตุการณ์นี้จึงถือได้ว่า เป็นการถือกำเนิดสังคม หรือชุมชนทางพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก
คำว่า สังฆะ หรือสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา จึงหมายถึง สังคม ชุมชน บริษัท (assembly) แห่งสาวกของพระพุทธเจ้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) อริยสงฆ์ หรือสาวกสงฆ์ (the Noble Sangha or the community of noble disciple) หมายถึง สาวกของพระพุทธเจ้าผู้บรรลุมรรคผลตั้งแต่ระดับต้น จนถึงระดับสูงสุด ซึ่งมี 4 ระดับ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
และ 2) สมมุติสงฆ์ หรือภิกษุสงฆ์ (the Conventional Sangha or the community of Bhikkhus or Monks) แปลตามตัวอักษรว่า สงฆ์โดยสมมุติ หมายถึง ผู้เข้ามาบวชเป็นภิกษุ ยังเป็นปุถุชนมีกิเลสเช่นสามัญชนทั่วไป แต่ปฏิบัติเพื่อความสะอาด สว่าง สงบแห่งจิตใจ สมมุติสงฆ์นี้กำหนดจำนวน 4 รูปขึ้นไป สามารถประกอบสังฆกรรมได้ โดยมีพระวินัยเป็นกรอบสำคัญ
ข้อแตกต่างระหว่างสงฆ์ 2 ประเภทนี้ คือ อริยสงฆ์ หรือสาวกสงฆ์ มิได้จำกัดเพศว่า เป็นภิกษุ หรือคฤหัสถ์ แต่มุ่งหมายเอาบุคคลผู้มีคุณภาพทางจิตใจที่บริสุทธิ์ขึ้นตามลำดับทั้ง 4 ประการดังกล่าว ส่วนสมมุติสงฆ์นั้น หมายเอาเฉพาะผู้ที่ถือเพศบรรพชิต โดยกำหนดว่า ต้องมีจำนวน 4 รูปขึ้นไปเท่านั้น อาจจะเป็นปุถุชนธรรมดา หรือพระอริยบุคคลระดับใดระดับหนึ่งดังกล่าวมาก็ได้
เมื่อพิจารณาจากการจัดตั้งสงฆ์ของพระพุทธองค์ จะเห็นได้ว่า พระองค์ได้ทรงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคคลได้ฝึกฝนพัฒนาตนเองในด้านพฤติกรรม จิตใจ และสติปัญญา ให้มีอิสรภาพหลุดพ้นจากกิเลส และมีความสุข โดยผ่านสังคมสงฆ์เป็นแบบอย่างสำคัญ โดยให้ทุกคนได้เข้าถึงความเป็นอริยสงฆ์เป็นสำคัญ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พระพุทธองค์ทรงต้องการให้โลกนี้เป็นชุมชน หรือสังคมของพระอริยะ หรือคนที่พัฒนาตนแล้ว การที่จะให้บุคคลได้เข้าสู่ภาวะแห่งการพัฒนาดังกล่าวได้นั้น จำเป็นต้องมีการจัดตั้งชุมชนที่เป็นรูปธรรม พระองค์จึงทรงตั้งชุมชนสงฆ์ คือ สมมุติสงฆ์ขึ้นมาเป็นแบบอย่าง หรือตัวอย่าง ซึ่งมีหน้าที่ และภารกิจหลัก คือการฝึกฝนอบรมบุคคลให้ได้รับการพัฒนาตนเอง แล้วออกไปสั่งสอนธรรม หรือพัฒนาประชาชนกลุ่มอื่นๆ ทุกหมู่เหล่า ทุกวรรณะ ทุกเพศ และทุกเชื้อชาติ ให้ได้พัฒนาตนเองจนกลายเป็นพระอริยะ หรืออริยสงฆ์
ภิกษุสงฆ์ที่ทรงตั้งขึ้นมา จึงเป็นสังคม หรือชุมชนแบบอย่าง ที่มีการจัดตั้งในลักษณะองค์กรที่เป็นรูปนัย (formal organization) ตามความหมายในทางสังคมวิทยา มีการกำหนดภารกิจที่ชัดเจน และวางกรอบพฤติกรรมของสมาชิกในชุมชน คือ การบัญญัติพระวินัยให้สมาชิกในสังคมสงฆ์ มีคุณสมบัติเฉพาะหลายประการ กำหนดความสัมพันธ์กับสมาชิกในสังคมสงฆ์ที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน ด้วยหลักสาราณียธรรม 7 ประการ เป็นต้น
สาระสำคัญของอปริหานิยธรรมทั้ง 7 ประการนี้ อยู่ที่สมาชิกในสังคมสงฆ์จะได้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งจะทำให้เกิดศักยภาพทางสติปัญญา อันจะนำไปสู่การตัดสินใจ และดำเนินงานร่วมกัน และนำไปสู่ความเจริญงอกงามไพบูลย์ของสังคมสงฆ์ในที่สุด
สังคมสงฆ์ จึงมีสาระสำคัญ คือ มีพระวินัยเป็นรากฐานสำคัญ เป็นเครื่องมือควบคุมสงฆ์ให้คงรูปอยู่ได้ด้วยความสมัครสมานสามัคคี เป็นพลังหนึ่งเดียว เพราะสังคมสงฆ์ประกอบด้วยบุคคลที่เป็นกัลยาณมิตร สงฆ์จึงเป็นแหล่งกัลยาณมิตร ที่คนในสังคมเข้าพบแล้วได้รับประโยชน์ เป็นตัวช่วยมนุษย์ให้เข้าถึงสาระคือ ธรรมะ และพัฒนาตนเอง จนกลายเป็นสมาชิกของอริยสงฆ์ต่อไป
นอกจากความสัมพันธ์ และหน้าที่ ที่สงฆ์จะต้องมีต่อสงฆ์ และสังคมภายนอกแล้ว สงฆ์ในฐานะเป็นสังคมแบบอย่าง ยังต้องมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องต่อส่วนต่างๆ คือ มนุษย์ ธรรมชาติ และสังคมทั่วไปอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากพระธรรมวินัยที่กำหนดให้เป็นข้อปฏิบัติของสงฆ์
ด้วยเหตุนี้ เหตุแห่งการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งตามแนวคิดในทางพระพุทธศาสนา จึงตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองของมนุษย์ ที่เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ (พุทธะ) ธรรมชาติ (ธรรม) และสังคม (สังฆะ) เข้าด้วยกัน บนพื้นฐานแห่งการเรียนรู้และพัฒนามนุษย์ทั้งในส่วนของพฤติกรรม (ศีล) จิตใจ (สมาธิ) และสติปัญญา (ปัญญา)
การเกิดขึ้นของสังคม หรือชุมชนสงฆ์ในวันอาสาฬหบูชานี้ จึงเป็นการเกิดขึ้นของแบบอย่างของสังคมแห่งการเรียนรู้ ที่จะช่วยเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้ามารับการฝึกฝนและพัฒนาตนเอง ทั้งในทางด้านพฤติกรรม (ศีล) จิตใจ (สมาธิ) และความรู้ความเข้าใจ (ปัญญา) ก้าวพัฒนาจากการเป็นสมมุติสงฆ์สู่ความเป็นพระอริยสงฆ์ในที่สุด