เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการจัดงานฉลองครบรอบ 20 ปี โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา หรือ “ซีส์” (SEAS) คณะศิลปศาสตร์ เป็นวันที่ 2 โดยในช่วงเช้าที่ห้องกิจกรรม เรวัติ พุทธินันทน์ หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มีการฉายภาพยนตร์ไทยเรื่อง “Heart Bound-A Diferent Kind of Love Story”
จากนั้น ในภาคบ่าย ห้องริมน้ำ ชั้น 1 คณะศิลปศาสตร์ มีการจัดเสวนาหัวข้อ “2020 : คลื่นลูกใหม่กับกระแสการเปลี่ยนแปลงในโลกและอุษาคเนย์”
ในตอนหนึ่ง ผศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำโครงการซีส์ กล่าวว่า อุษาคเนย์ในช่วงเวลานี้คือยุคทองของระบอบ “ไฮบริด” หรือระบอบทางการเมืองแบบลูกผสม กรณีของประเทศไทยเอง ก็กำลังเคลื่อนเข้าสู่ระบอบลูกผสมเช่นกัน
“ในปี 2020 ตนขอฟันธงว่า เรากำลังเข้าสู่ยุคเรืองรองของระบอบไฮบริด หรือลูกผสม คือ คุณลักษณะของระบอบประชาธิปไตยกับเผด็จการมาเจือปนกัน ระบอบลูกผสมนี้ ในรัฐที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มักเปลี่ยนสู่ประชาธิปไตยมากขึ้น ในขณะที่รัฐซึ่งประชาธิปไตยถดถอย กลับคืนสู่เผด็จการ ดังนั้น มันมีพลวัตไม่นิ่ง เพราะ 2 คุณลักษณะนี้ตีโต้กัน แต่บางจังหวะก็ผสานกันได้ รัฐที่อยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านจะเจอรูปแบบนี้หมด แต่มีไฮบริดบางประเภทที่เสถียรสุดๆ อย่างกรณีสิงคโปร์ หลายสิบปีมาแล้วที่มีสถาบันแบบประชาธิปไตย แต่พรรคกิจประชาชน (People’s Action Party – PAP) ชนะเลือกตั้งทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่เป็นเผด็จการผสมประชาธิปไตย แต่ยุทธศาสตร์การพัฒนา การเติบโตของประเทศถือว่าชั้นยอดมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ” ผศ.ดร.ดุลยภาคกล่าว
ผศ.ดร.ดุลยภาคกล่าวอีกว่า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถจัดจำแนกได้ 3 กลุ่ม คือ 1.รัฐที่มี “ประชาธิปไตยสูงโดยเปรียบเทียบ” มากที่สุด ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี และติมอร์ เลสเต ซึ่งเป็นประชาธิปไตยแบบกึ่งประธานาธิบดี 2.รัฐระบอบลูกผสม อย่าง มาเลเซีย กัมพูชา สิงคโปร์ เมียนมา 3.ประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ได้แก่ เวียดนาม ลาว และบรูไน
“วันนี้คะแนนไฮบริดจาก 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย กัมพูชา สิงคโปร์ เมียนมา งอกขึ้นมาเป็น 5 ประเทศ นั่นคือ ประเทศไทย ซึ่งเคลื่อนตัวเองสู่ระบอบลูกผสมนี้มากขึ้น ผมจึงบอกว่ายุคนี้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นยุคที่แฟชั่นไฮบริดขายดีมาก รัฐบาล คสช. เปลี่ยนจากรัฐประชาธิปไตย เข้าสู่รัฐบาลผสมภายใต้ระบอบลูกผสม เราได้เห็นแล้วว่าชีวิตชีวาทางการเมืองมีมากขึ้น พื้นที่ฝ่ายค้านมีมากขึ้น แต่ยังมีอำนาจสงวน อำนาจอภิสิทธิ์หลายอย่างที่ยังแตะไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้ตัวแบบของเมืองไทยมันพิเศษ เพราะ 1.มีลักษณะการก่อรูปรัฐบาลผสมคล้ายติมอร์ เลสเต แต่ 2.อยู่ใต้ระบอบการเมืองแบบไฮบริด ซึ่งเปรียบเทียบได้กับกัมพูชาหรือพม่าด้วย” ผศ.ดร.ดุลยภาคกล่าว
ทั้งนี้ ผศ.ดร.ดุลยภาค ยังกล่าวด้วยว่า สิ่งที่เราจะไม่ได้เห็นในชีวิตนี้สำหรับประเทศไทย คือ “การมีประชาธิปไตยเต็มใบ”