พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก เจาะคัมภีร์ ‘สามก๊ก’ มุมนักรบ-นักบริหาร

หนึ่งในสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผู้สนใจด้านประวัติศาสตร์และการเขียน จนมีผลงานออกมามากมาย รวมถึงหนังสือ พระยอดเมืองขวาง ผู้ปลุกสยาม สู้ “เจ้าอาณานิคม”

ยังเป็น 1 ใน 7 ผู้นำความคิดในไลฟ์ทอล์ก “สามก๊ก ปลุกชีวิต คิดการใหญ่” ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายนนี้

กำลังพูดถึง พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก นายทหารนักเขียน อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้โลดแล่นอยู่ในแวดวงทหารและการเมืองมาอย่างยาวนาน

“ต้องบอกว่าชีวิตเหมือนถูกจัดวางมาแล้ว เพราะคุณพ่อเป็นนายทหาร”

Advertisement

พล.อ.นิพัทธ์เล่าย้อนถึงอดีต คุณพ่อ พ.อ.สนอง ทองเล็ก ซึ่งเดิมเป็นลูกชาวนาใน อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี

“แต่พ่อมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นทหาร พอเรียนจบวิทยาลัยครูสมเด็จเจ้าพระยาก็ไปสมัครเป็นนายร้อยสำรอง และได้ฝึกเพิ่มเติมด้วยการไปสมัครเป็นทหารพลร่ม ซึ่งเมื่อก่อนเป็นท็อปแมนที่ยกย่องกันว่าเป็นท็อปของทหาร ทำภารกิจที่ยากลำบากเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ยังฝึกต่อในหลักสูตรเรนเจอร์หรือแรงเยอร์ (Ranger) ที่สหรัฐอเมริกา เป็นนายทหารคนที่ 15 ของกองทัพบกไทย จากนั้นท่านก็มาเป็นทหารพลร่ม ตั้งแต่เด็กอายุประมาณ 5-6 ขวบ ผมจะขัดรองเท้า ขัดเครื่องหมายคือหัวเข็มขัดให้พ่อ และหลายครั้งมีโอกาสดูพ่อนำแถวทหารนักเรียนนายร้อย จปร.ฝึกหลักสูตรจู่โจมและสอนโดดร่ม”

“ทั้งหมดหล่อหลอมผม โดยมีคุณพ่อเป็นไอดอลในชีวิต” พล.อ.นิพัทธ์อธิบาย

Advertisement

หลังจบประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนอนุบาลลพบุรี พล.อ. นิพัทธ์ย้ายมาศึกษาต่อที่โรงเรียนพิพัฒนา สุขุมวิท 64 และเรียนต่อที่โรงเรียนเทพศิรินทร์

“พอจบ ม.ศ.3 ทุกสิ่งทุกอย่างมันบอกตัวเองได้เลยว่าไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นเลยนอกจากเป็นทหาร”

“ขณะเดียวกันคุณแม่เองก็บอกว่าให้ลองสอบอย่างอื่นด้วย ซึ่งผมเองก็สนใจวิศวะอยู่เหมือนกัน แต่ในที่สุดการตัดสินใจขั้นสุดท้ายคือ โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 14 หลังจบเตรียมทหารมีให้เลือกเรียนต่อ 5 ทางคือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และคนที่เก่งจริงๆ จะเลือกเรียนแพทย์ ซึ่งผมเลือกเรียนต่อทหารบกที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.)”

ตอนเรียนนายร้อย จปร.ปี 2 ครูบาอาจารย์ในขณะนั้นเห็นว่าเรื่องของศิลปะในการเป็นผู้นำเป็นเรื่องที่จะต้องสอดแทรกเข้ามา เพราะฉะนั้นวิชา “สามก๊ก” ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) จึงเป็นวิชาบังคับตอนปี 2

พล.อ.นิพัทธ์เล่าว่า โรงเรียนจะแจกหนังสือสามก๊กเล่มใหญ่สีเขียว ซึ่งเป็นหนังสือยืมเรียนให้กับเด็กปี 2 เปิดจากหน้าปกไปก็จะเป็นกระดาษสีขาว มีชื่อนักเรียนนายร้อยคนที่เคยครอบครองหนังสือเล่มนี้มาก่อนเขียนเรียงกันอยู่ประมาณ 10 คน หมายความว่าหนังสือเล่มนี้ผ่านมือรุ่นพี่มาแล้วอย่างน้อย 10 รุ่น แล้วครูที่สอนจะบอกให้ไปอ่านมา หน้า 1 ถึงหน้า 150 แล้วอาทิตย์หน้ามาสอบ

“ผมเปิดไปดูข้างในมันโล่งๆ ไม่มีแม้แต่รอยขีดอะไรสักเส้น ก็ทำให้ใจหวิวตรงที่ว่าไม่มีอะไรช่วยเลย และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องสามก๊กมันไม่เร้าใจ ชื่อตัวละครก็จำยาก แล้วทุกอย่างมันเดินเร็ว สถานที่ก็เปลี่ยนไปเรื่อย แล้วคนนี้ไปใช้คนนั้น คนนั้นไปใช้คนนี้แล้วรบกันต่อ ซึ่งตัวละครมีเยอะมาก ทำให้เราไม่ค่อยอยากจะศึกษาเเล้วมองว่าเป็นภาระ เพราะยังมีความกังวลกับวิชาอื่น เนื่องจากขณะนั้นเรียนวิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมโยธา และวิศวกรรมสรรพาวุธ ซึ่งเป็นวิชาคำนวณเป็นส่วนใหญ่”

“วิธีที่จะทำให้การสอบผ่านไปได้ คือการให้หัวหน้าตอนไปอ่านแล้วมาเล่าให้เพื่อนๆ ทั้งหลายที่เป็นลูกตอนฟัง แล้วบรรยากาศมันน่ารักนะ นักเรียนนายร้อยใส่ชุดนอนสีขาวมานั่งฟังหัวหน้าตอนเล่ากันตาแป๋วเลยในโรงนอน (หัวเราะ)”

นับเป็นความเกี่ยวพันกับสามก๊กเป็นครั้งแรกของ พล.อ.นิพัทธ์

“ต้องยอมรับว่าโรงเรียนทหารมีตำราที่แปลในเรื่องของการรบ การปกครอง ซึ่งเป็นของฝรั่งทั้งหมด แต่มันอาจจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก ผมเชื่อว่าครูบาอาจารย์ต้องการที่จะเอาสามก๊กเป็นคัมภีร์ให้กับนักเรียนนายร้อยที่จะต้องออกไปนำหน่วย ออกไปปกครองคน จะต้องมีลักษณะของการเป็นผู้นำ ถึงแม้สามก๊กจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นประมาณ 1,800 ปีมาแล้ว แต่มันได้บรรจุเอาคาแร็กเตอร์ บุคลิกลักษณะ ชั่ว ดี ถี่ ห่าง เชื่อได้ ไม่ได้ เอาไว้ ยังมีบทสรุปของเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วมันน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่สามก๊กฉีกแนวออกไปว่ามันเป็นอย่างโน้น ซึ่งความผันแปรในสนามรบต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นตัวสอนให้เราบังคับบัญชาสิ่งที่เป็นความไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา” พล.อ.นิพัทธ์อธิบาย

ซึ่งหลายครั้ง พล.อ.นิพัทธ์นำหลักคิดจาก “สามก๊ก” มาใช้ในการปฏิบัติงานจริง

“ผมให้ความสำคัญเรื่องที่เราจะเลือกใครมาทำงานด้วย อย่างตอนที่ผมเป็นร้อยตรีจบการศึกษาใหม่ๆ เป็นผู้บังคับหมวดปืนเล็ก ตั้งฐานปฏิบัติการชายแดน ที่ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว เพื่อยับยั้งการรุกรานของเวียดนาม มีกำลังคน 50 คน ทุกคนมีปืนอยู่ตรงนั้นหมด ซึ่งคนมีปืนใหญ่เท่ากันครับ เรื่องยศก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“ดังนั้น เวลาผมนำกำลังพลออกลาดตระเวน ต้องแบ่งคนส่วนหนึ่งจะต้องอยู่เฝ้าฐาน ดังนั้นผมจะต้องเลือกคนว่าใครที่ผมไว้ใจ บุคลิกแบบไหนจะเดินหน้าสุด แบบไหนอยู่ข้างหลังสุด เช่น คนที่อยู่ข้างหน้าต้องต้องหูไว ตาไว เฉลียวฉลาด ไม่ทะเล่อทะล่าไปเหยียบกับระเบิด เวลาพบอะไรแล้วสามารถสื่อคำสั่งให้เราได้” พล.อ.นิพัทธ์อธิบาย

สำหรับจุดเด่นที่ พล.อ.นิพัทธ์ชอบที่สุดในเรื่องสามก๊ก คือ โจโฉ ซึ่งคงตรงใจกับคนอีกจำนวนมาก เนื่องจากโจโฉเป็นตัวละครที่มีสีสันขับเคลื่อนสามก๊กให้มีชีวิตชีวา

“ถ้าพูดถึงตัวแม่ทัพนายกองสิ่งที่ต้องมองคือ ความกล้าหาญ ในสามก๊กมีการนำเสนอตัวละครออกมาหลายรูปแบบ อย่างโจโฉ มีคาแร็กเตอร์ที่มองการณ์ไกล ตัดสินใจเร็ว เด็ดขาด และรักลูกน้อง ข้อที่เด่นที่สุดคือเรื่องใช้คนเก่ง มีครั้งหนึ่งโจโฉประกาศรับสมัครคนเก่งโดยไม่เลือกเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ หรือตระกูล จะเป็นใครมาจากไหนก็ได้ถ้าเก่งกล้า แม้จะเป็นฝ่ายศัตรูก็เกลี้ยกล่อมเอามาอยู่ด้วย นี่เป็นสิ่งที่ผู้บริหารหลายคนนำมาปรับใช้”

พล.อ.นิพัทธ์ยกตัวอย่างตอนหนึ่ง ฮัวหยง แม่ทัพของ ตั๋งโต๊ะท้ารบพันธมิตร 18 หัวเมือง ก็มีคนออกไปตามคำท้าก็พ่ายแพ้ จนกระทั่ง กวนอู ขออาสาออกไป ซึ่งคนที่เหลือต่างไม่พอใจเพราะกวนอูเป็นแค่พลทหารเลว เป็นแค่พลเกาทัณฑ์ ไม่ใช่ระดับแม่ทัพนายกอง ไม่สามารถไปต่อกรกับฮัวหยงได้ ซึ่งในขณะนั้นโจโฉอยู่ด้วย มองว่าถ้ากวนอูรับอาสาแล้วตัวเขาสูงใหญ่ ท่าทางทะมัดทะแมง น่าจะทำการสำเร็จ ในที่สุดโจโฉก็ไปรินสุราอุ่นๆ ส่งให้กับกวนอู แต่กวนอูบอกว่า ท่านโจโฉเดี๋ยวข้าจะไปตัดหัวฮัวหยงมาก่อนแล้วจะกลับมาดื่มสุราของท่าน

ในที่สุดกวนอูควบม้ากลับมาพร้อมศีรษะของฮัวหยง แล้วดื่มเหล้าของโจโฉ ซึ่งตามตัวหนังสือบอกว่ายังอุ่นอยู่ ตั้งแต่นั้นกวนอูก็กลายเป็นทหารเอก การที่โจโฉเป็นคนที่คิดนอกกรอบนี้ ตรงกับสุภาษิตจีนที่ว่า “แมวจะเป็นสีขาวหรือสีดำก็ไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ก็พอ”

เป็นมุมมองของ พล.อ.นิพัทธ์ ซึ่งยืนยันว่าสามก๊กเป็นหนังสือที่ดี มีคุณค่า เป็นหนังสือที่ควรอ่าน ถ้าจะคิดการใหญ่ จะบริหารโครงการ จะทำงานอะไรสักเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะการจะคุมคน ท่านรู้จักคนแค่ไหน “สามก๊ก” จะเป็นคัมภีร์บอกทิศทางการอ่านใจคน การคาดเดา และการเลือกใช้คน

และอธิบายอีกว่า ตามทฤษฎีของผมคนอ่านสามก๊กน่าจะมีอยู่ประมาณ 3 ประเภท 1.คนที่อ่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ คือหยิบขึ้นมาแล้ววางไม่ลง 2.ศึกษาเพราะว่าโดนบังคับ และ 3.กลุ่มคนที่

ประสบปัญหา หรือเป็นผู้นำองค์กรต่างๆ แล้ววันหนึ่งต้องการหาคำตอบเลยหยิบสามก๊กขึ้นมาอ่าน ซึ่งกลุ่มนี้น่าจะมีความดื่มด่ำในตัวหนังสือมากที่สุด และเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์สูงสุด

“สำหรับผมเป็นกลุ่มที่ 2 และ 3 ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ผมพูดว่าสามก๊กคือคัมภีร์ชีวิตที่อยู่นอกเหนือวิชาศีลธรรม ซึ่งถ้าเราเรียนศีลธรรมจะรู้ว่าทำสิ่งนี้แล้วได้สิ่งนี้ ทำสิ่งนั้นแล้วได้สิ่งนั้น แต่สามก๊กกล้าที่จะเฉลยว่ามันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเราจะมีความรู้สึกเจนโลกมากขึ้นว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป”

และแทบทุกตัวละครในสามก๊ก ไม่มีใครขาวบริสุทธิ์ เป็นบุคคลในอุดมคติ ตรงนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้คนอ่านยอมรับ แต่ละคนมีด้านมืด ด้านสว่าง ถ้าให้ผมคิดเองคือ มีสีขาว สีเทา และสีดำ อยู่ในชีวิตของเราทุกคนที่ทำงาน แต่ผมยังต้องการให้คนเราทั้งหลายที่ได้อ่านอยู่ในซีกของสีขาวอยู่ และเวลาเรามองคนอื่นต้องยอมรับสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงในโลกนี้ ซึ่งสิ่งต่างๆ หรือที่ศาสนาพุทธพูดว่ามีโลกธรรมแปด ทั้งหมดมีอยู่ใน “สามก๊ก”

“ผมดีใจที่เครือมติชนจับมือกับช่อง 3 และบีอีซี-เทโร จัดไลฟ์ทอล์ก สามก๊ก ปลุกชีวิต คิดการใหญ่ขึ้น ผมถือว่าเป็นการปลุกสำนึกคนไทยในเรื่องของการรักที่จะศึกษาเรื่องราวต่างๆ และหันมาให้ความสนใจอ่านหนังสือ ในขณะเดียวกันเนื้อหาสาระที่เกิดจากการอ่าน การพูด การฟัง มันจะเป็นประกายไฟ เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานต่อไป” พล.อ.นิพัทธ์ทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image