สธ.แนะผู้ปกครองดูแลเด็กป่วย ‘ไข้เลือดออก’ ใกล้ชิด

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกว่า ข้อมูลตั้งแต่ต้นปี ถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2562 พบผู้ป่วยแล้ว 26,430 ราย เสียชีวิต 41 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในวัยเรียน จึงขอความร่วมมือทุกคนช่วยกันทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้านและโรงเรียน เพื่อป้องกันบุตรหลานจากโรคไข้เลือดออก และขอให้สังเกตอาการของตนเองและผู้ใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่ยังไม่สามารถบอกอาการของตนเองได้ชัดเจน หากมีไข้สูงลอยเกิน 2 วัน แนะนำให้ไปโรงพยาบาล ซึ่งอาการไข้เลือดออกมีระดับความรุนแรงต่างกันออกไป ตั้งแต่อาการน้อยไปถึงรุนแรงมาก แต่ส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง ซึ่งแพทย์จะตรวจประเมินอาการผู้ป่วย หากพบว่าอาการไม่รุนแรงอยู่ในระยะไข้ ยังรับประทานอาหาร ดื่มน้ำได้ แพทย์จะแนะนำการดูแลที่บ้านให้ญาติทราบ และวิธีสังเกตอาการที่ควรรีบมาพบแพทย์ โดยเฉพาะช่วงไข้ลด หากมีอาการซึมลง รับประทานอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ อ่อนเพลีย ปวดท้องมาก คลื่นไส้อาเจียน กระวนกระวาย อาจเข้าสู่ระยะช็อค ให้รีบไปโรงพยาบาลทันที

ด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงอาการผู้ป่วยไข้เลือดออก ว่า หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 5-8 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงลอย อุณหภูมิ 38.5 – 40.0 องศาเซลเซียส ติดต่อกัน 2-7 วัน

“อาการทั่วไปคล้ายเป็นหวัด แต่ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก หน้าแดง ปวดศีรษะ บางรายอาจมีปวดท้อง อาเจียนมีจุดแดงเล็กตามแขน ขา ลําตัว หากมีอาการไข้สูง 2 วันไข้ไม่ลดขอให้รีบไปพบแพทย์ สำหรับการดูแลผู้ป่วยที่แพทย์ให้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ควรดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำธรรมดา รับประทานอาหารอ่อนและกินยาตามแพทย์สั่ง ห้ามกินยาแอสไพริน หรือไอบูโปรเฟน เพราะจะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจนภายใน 2-3 วันหลังจากไข้ลด หากผู้ป่วยมีเลือดกําเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดและอุจจาระเป็นสีดํา หมดสติ ให้รีบนําส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีเพื่อลดการเสียชีวิต” นพ.สุวรรณชัย กล่าวและว่า หากไม่แน่ใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image