คลัง หั่น จีดีพี ปีนี้เหลือ 3.5% ชี้สงครามยูเครน-รัสเซียกระทบหนัก ฉุดศก.โลก พลังงาน เงินเฟ้อสูง

คลัง หั่น จีดีพี ปีนี้เหลือ 3.5% ผลพวงจากสงครามยูเครน-รัสเซีย ฉุดศก.โลก พลังงาน เงินเฟ้อสูง ชี้ใช้จ่ายในประเทศยังดี ท่องเที่ยวฟื้นตัว คาดต่างชาติเข้าไทย 6.1 ล้านคน

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงเศรษฐกิจไทยปี 2565 ว่า คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ 3.5% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 3.0% ถึง 4.0%) ปรับลดลงจากประมาณการครั้งก่อน ณ เดือนมกราคม 2565 ที่ 4.0% ต่อปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยชะลอตัว โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา และส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น

นายพรชัย กล่าวว่า โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 จะอยู่ที่ 5.0% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวได้จากปี 2564 ที่ขยายตัว 1.6% ต่อปี โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 4.3% ต่อปี และภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้น หลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย จำนวน 6.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นมากจากปี 2564 ที่มีจำนวนเพียง 0.4 ล้านคน ในขณะที่การส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 6.0%

นายพรชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายของภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ภาครัฐจะมีการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท และงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2565 วงเงิน 3.18 แสนล้านบาท รวมทั้งเงินกู้ตามพระราชกำหนด (พ.ร.บ.) กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ในส่วนที่เหลือที่อยู่ 7.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ควบคู่ไปกับการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจต่าง ๆ โดยคาดว่าการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวที่ 4.6% ต่อปี

Advertisement

“ทั้งนี้ แรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ จะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการลงทุนภายในประเทศให้ปรับตัวสูงขึ้น โดยการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 4.5% ต่อปี ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.0% ต่อปี แต่การปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าดังกล่าวยังคงเป็นผลจากราคาในกลุ่มพลังงานและอาหารสดเป็นสำคัญ ซึ่งรัฐบาลได้มีการดำเนินมาตรการเพื่อลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนและลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบอาชีพในภาคขนส่ง รวมถึงดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อย กลุ่มแรงงานและกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว”นายพรชัย กล่าว

นายพรชัย กล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1.ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน 2.ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 ทั้งสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต 3.ความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก อาทิ การส่งสัญญาณปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในหลายประเทศจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศและส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท 4.ปัญหาข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทานการผลิต เช่น การขาดแคลนอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ เป็นต้น และ 5. ตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวไม่เต็มที่ จึงเป็นข้อจำกัดสำหรับการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน และความสามารถในการชำระหนี้สินของภาคครัวเรือนที่ยังคงมีความเปราะบาง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะได้มีการติดตามและประเมินผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการทางการคลังและการเงินที่เหมาะสมเพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image