‘ไอ้ก้านยาว’แถลง เป็นเปาปุ้นจิ้นแท้ๆ กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาทหาร จี้ ทส.ไปเอาผิดกับนักโทษคลองด่าน อย่ากล่าวหาใครพล่อยๆ

กรณีศาลปกครองมีคำสั่งให้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จ่ายเงินค่าชดเชยความเสียหาย วงเงิน 9 พันล้านบาท ให้แก่กลุ่มกิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี ที่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ เนื่องจาก คพ.บอกเลิกสัญญาโครงการดังกล่าว ต่อมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติวงเงินและชำระงวดแรกไปแล้ว 4 พันล้านบาท ขณะที่ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรี ทส. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีความรับผิดชอบทางละเมิด จำนวน 5 คน โดยมีนายวรศาสตร์ อภัยพงษ์ ผู้ตรวจราชการ ทส. เป็นประธาน ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนว่าข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงของ ทส.คนใด ต้องรับผิดชอบในการยกเลิกสัญญาก่อสร้างโครงการระบบบำบัดน้ำเสียคลองด่าน โดยล่าสุดคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้มีหนังสือถึง นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีตรัฐมนตรี ทส. ซึ่งเป็นผู้สั่งยกเลิกสัญญา โครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียคลองด่าน และทีมงานบางคน รวมทั้งคณะกรรมการตรวจสอบและเสนอแนะการบริหารโครงการจัดการน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จ.สมุทรปราการ ประกอบด้วย 1.นายสุรเชษฐ์ หรือสิรภพ ดวงสอดศรี อดีตประธานกรรมการ และผู้อำนวยการพรรคภูมิใจไทย 2.นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตกรรมการ นายยงยุทธ ศรีสัตยาชน อดีตกรรมการ 3.นายประพจน์ คล้ายสุบรรณ อดีตกรรมการ 4.นายเสมอ ลิ้มชูวงศ์ อดีตกรรมการ และ 5.นายมนู หรือธิติ ทองศรี อดีตกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการ โดยเอกสารระบุว่า ให้บุคคลเหล่านี้มาพบคณะกรรมการสอบสวนฯ เพื่อสอบหาข้อเท็จจริง เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้อง และอาจจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ คพ.ด้วย นั้น

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ นายประพัฒน์แถลงว่า วันนี้เหตุการณ์ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด เพราะตอนที่ตนเป็นรัฐมนตรี ทส.นั้น เข้ามาก็ตอนที่โครงการทำไปแล้ว เมื่อทีมงาน ที่ส่วนใหญ่เป็นนักกฏหมาย รวมทั้งชาวบ้านในพื้นที่คลองด่านเอง ตรวจสอบพบว่า โครงการนี้มีการทุจริตกันอย่างมโหฬาร เป็นประวัติศาสตร์การทุจริต เมื่อตนสั่งยุติโครงการ มีแต่คนมาชื่นชม ว่ากล้าที่จะทำ กล้าที่จะตัดสินใจ เป็นเหมือนเปาบุ้นจิ้น ไม่เกรงใจใครหน้าไหน ตอนนั้นก็รู้สึกภูมิใจมาก ที่สามารถรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเอาไว้ แม้จะมาทำเอาตอนที่ค่อนข้างจะสายไปแล้ว แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย และเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรี ทส.ที่ต้องทำในตอนนั้น

“ผมภูมิใจมาก ถึงวันนี้ ให้ตัดสินใจอีกครั้ง ผมก็จะทำแบบนั้นแหละ แต่พอถึงวันนี้ ทส.กลับมีหนังสือมาถึงผม และทีมงานในตอนนั้น เหมือนจะกล่าวหาว่าผมคือ ผู้มีส่วนร่วมในการทุจริต รู้สึกงง และเสียใจอย่างยิ่ง ผมปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ แต่กลับกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาทหารเวลานี้ จะไม่ให้ผมเสียใจได้อย่างไร แต่ก็ยืนยันว่า หากมาหาว่าผมทุจริต ผมก็จะสู้จนถึงที่สุด” อดีตรัฐมนตรี ทส.กล่าว

นายประพัฒน์ กล่าวว่า ขอแนะนำว่า ข้าราชการ และฝ่ายการเมือง ที่กำลังจะทำกับตนและทีมบริหารสัญญาเวลานี้ต้องไปศึกษาประวัติศาสตร์ เรื่องการทุจริตโครงการสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านเสียให้ดี มีคนรู้เรื่องนี้ดีอยู่ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือ ตน และถ้าตัวรัฐมนตรี ปลัดทส. หรือทีมงาน อยากจะรู้ ให้เรียกตนไปถาม ตนยินดีจะไปบอกกล่าว พร้อมเอกสารที่มีอยู่ทั้งหมดให้ฟัง อย่าไปฟังจากคนที่รู้อะไรแบบฉาบฉวยและคนที่กำลังทำอะไรบางอย่างเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

Advertisement

“ถ้าดูจากหลักฐาน จะเห็นว่า ผมและทีมงานบริหารสัญญาต่อสู้เรื่องนี้หนักมาก หลังจากเรายกเลิกสัญญา คดีอาญานั้นเราชนะในศาลชั้นต้น พอมีการอุทธรณ์ ตอนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ผมต้องออกมาจากกระทรวง ปรากฏว่า ในชั้นศาลอุทธรณ์เรากลับแพ้ ทั้งๆที่หากต่อสู้กันจริงๆ เราไม่มีทางที่จะแพ้เลย เวลานี้อยู่ระหว่างการฎีกา ส่วนในชั้นศาลปกครองล่าสุด ผมและหลายๆคนก็เห็นกันเป็นทางเดียวกันว่า เราไม่น่าแพ้เช่นกัน ผมมั่นใจว่า หากผู้ที่รับผิดชอบเรื่องคดีของทส.ในขณะนั้น ตั้งใจที่จะสู้คดีจริงๆ โอกาสที่จะแพ้ต่อกลุ่มกิจการร่วมค้านั้นมีน้อยมาก”นายประพัฒน์ กล่าว

อดีตรัฐมนตรีทส.กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับหนังสือจากทส.ให้ไปชี้แจง รู้สึกอย่างไรบ้าง นายประพัฒน์ กล่าวว่า อันดับแรกไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอบอกว่า ภูมิใจมากที่ได้ตัดสินใจบอกยกเลิกสัญญากับกลุ่มกิจการร่วมค้าในวันนั้น หากไม่ทำ ประเทศชาติก็จะเสียหายมากกว่านี้ แต่ก็สงสารทีมงาน ที่ต้องมาเจอกับชะตากรรมแบบนี้

“อย่าเห็นอะไรที่ฉาบฉวยแล้วสั่งการทันทีโดยขาดข้อมูลที่เป็นจริง เพราะโอกาสผิดพลาดสูง อยากรู้อะไร เรียกผมไปถามได้ ผมยินดีไปชี้แจงทุกเวลา และความจริงแล้ว พวกผม ไม่ใช่คู่ความอะไรพวกคุณเลย คุณควรจะไปตามจี้กับพวกที่ทุจริตโน่น แทนที่จะไปจับตัวคนโกง คนทุจริต กลับมาคิดจะจัดการกับคนที่ไปจับคนทุจริต แล้วปล่อยให้คนทุจริตรอด มันใช้ได้ที่ไหน ประชาชนก็รู้กันทั้งประเทศในเรื่องนี้”นายประพัฒน์ กล่าว

Advertisement

นส.ดาวัลย์ จันทรหัสดี ชาวบ้านคลองด่าน กล่าวว่า ชาวบ้านก็งง ที่ทส.คิดจะให้นายประพัฒน์ และคณะกรรมการบริหารสัญญา กลายเป็นผู้รับผิด กรณียกเลิกสัญญา กับกลุ่มกิจการร่วมค้า ผู้รับเหมาก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในขณะนั้น เพราะหากไม่ยุติสัญญา ประเทศชาติก็ต้องเสัยหายมากกว่านี้ มีข้อพิสูจน์อย่างมากมาย เรื่องความไม่เหมาะสมการก่อสร้าง การทุจริตในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่การซื้อที่ดิน มีคำพิพากษาออกมาชัดเจน กระทั่งคนทุจริตบางคนหนีออกนอกประเทศไปแล้ว แต่คนที่อยู่ในประเทศก็มี ทำไมไม่ไปจี้คนเหล่านั้น

“ดิฉันในฐานะชาวบ้านคลองด่าน ที่ติดตามเรื่องนี้มานาน ขอตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมาเมื่อมีการบอกเลิกสัญญากันแล้ว ส่วนราชการที่ต้องไปต่อสู้คดีในศาล ทำงานกันอย่างเต็มที่หรือไม่ทุกคดี เรามีโอกาสชนะสูงมาก แต่ก็กลับแพ้ แถวบางเรื่องกลับปล่อยให้คดีหมดอายุความไปเสียอีก ดิฉันคิดว่า ทส. และคพ.ที่จะต้องตามเรื่องนี้ ควรจะไปตามเอาตัวผู้กระทำผิดจริงๆมาชดใช้ มารับโทษ คนเหล่านั้นก็ยังเดินอยู่ในประเทศ ไม่ใช่ไปตามเอาที่คนไม่เกี่ยวข้องมารับเคราะห์แทน”ตัวแทนชาวบ้านคลองด่านกล่าว

นายเกษมสันต์ จิณณวาโส ปลัดทส.กล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการสวบสวนฯ ขึ้นมาเพื่อสอบสวนหาผู้รับผิดชอบในการยกเลิกสัญญาที่ทำให้รัฐเสียหาย แต่ก็ไม่ได้หมายความผู้ที่ถูกเรียกมาสอบในเวลานี้เป็นผู้มีความผิด ซึ่งผลสอบที่ออกมาอาจจะมีผู้กระทำความผิดหรือไม่มีก็ได้ อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนอายุความจะหมดภายในอีก 2 ปี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image