อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าวันปิ ยมหาราช ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวั นสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุ ลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระมหากษัตริย์ที่ทรงมี พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่ อปวงชนชาวไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศเลิ กทาสและไพร่ในประเทศไทย ในปี ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448) ในเวลานั้นมีการประมาณว่ าประเทศไทยเรามีทาสอยู่เป็ นจำนวนมากกว่าหนึ่ งในสามของพลเมืองทั้งหมด รวมไปถึงพระราชกรณียกิจในการปฏิ รูปการปกครอง การริเริ่มโครงสร้างพื้ นฐานของประเทศทั้ง การก่อตั้งการประปา การไฟฟ้า กรมไปรษณีย์โทรเลข โทรศัพท์ การสร้างทางรถไฟ สร้างถนนสมัยใหม่ ขุดคลองหลายแห่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อยนึกถึ งเกี่ยวกับพระองค์ท่านคื อพระราชกรณียกิจส่วนพระองค์ ในการเสด็จประพาสต้นและประพาสหั วเมืองต่าง ๆ
การเสด็จประพาสต้นเป็นการเสด็ จประพาสตามหัวเมืองแบบไม่เป็ นทางการปกปิดมิให้ใครรู้จั กพระองค์ โดยทรงเรือมาดเก๋ง 4 แจวลำหนึ่งเป็นเรือพระที่นั่ งแล้วมีเรือบรรทุกเครื่องครัวที่ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหมื่นเสมอใจราช (อ้น) เป็นผู้คุมเครื่องครัว ทรงพระดำรัสเรียกเรือลำนี้ว่า “เรือตาอ้น” เรียกเร็ว ๆ เสียงเป็น “เรือต้น” ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าประพาสต้น สาเหตุที่การเสด็จประพาสต้นนั้ นเป็นพระราชกรณียกิจส่วนพระองค์ เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่ จะบำรุงดูแลทุกข์สุขราษฎรอย่ างใกล้ชิด โดยบางคราวทรงปลอมแปลงพระองค์ เป็นสามัญชนเข้าไปปะปนกับราษฎร เพื่อที่จะทอดพระเนตรเห็นชีวิ ตความเป็นอยู่ของราษฏรและการปฏิ บัติหน้าที่ของราชการอย่างแท้ จริง ทำให้พระองค์ได้ทรงนำสิ่งที่ได้ ไปแก้ไขเพื่อประโยชน์สุขแห่ งราษฎรสยาม รวมไปถึงการที่พระองค์ ทรงโปรดการถ่ายภาพ ทำให้เราได้เห็นภาพประวัติ ศาสตร์ของประเทศไทยเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ที่หาชมจากที่ไหนไม่ได้
จังหวัดนครสวรรค์ หรือมณฑลนครสวรรค์ในขณะนั้น ได้มีโอกาสรั บแสดงในคราวประพาสต้นถึง 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2449 และในปี พ.ศ. 2451 ซึ่งพระพุทธเจ้าหลวงได้ ทรงแวะเยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในจังหวัดนครสวรรค์ มากมายหลายแห่งในช่วงเวลาดังกล่ าว โดยสถานที่น่าสนใจที่ทรงเสด็ จประพาสต้นได้แก่
1. วัดบ้านแดน หรือ วัดอรุณราชศรัทธาราม ตั้งอยู่อำเภอบรรพตพิสัย ที่วัดนี้รัชกาลที่ 5 ทรงใช้เป็นที่ประทับแรมในพลั บพลาหน้าวัดบ้านแดน เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นครั้ งที่ 2 ต่อมาในปี พ.ศ.2452 ได้พระราชทานสิ่งของและเครื่ องสังเค็ตในงานพระศพพระองค์เจ้ าอุรุพงษ์รัชสมโภช ให้กับหลวงพ่อแหยม เจ้าอาวาสวัดบ้านแดนในขณะนั้น ปัจจุบันเครื่องสังเค็ตดังกล่ าวที่วัดบ้านแดนได้เก็บรักษาไว้ เป็นอย่างดี ผู้สนใจสามารถติดต่อเข้าไปเยี่ ยมชมได้
2. วัดเขาหน่อ เป็นจุดหมายต่อจากที่ทรงเสด็จวั ดบ้านแดนแล้ว โดยได้ทรงพระราชดำเนินโดยแคร่ ไม้ไผ่คานหามไปยังเขานอ (เขาหน่อ) มีระยะทางกว่า 87 เส้น หรือประมาณ 3 กิโลเมตร ที่เขาหน่อนี้รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสรงน้ำในสระที่ปัจจุบั นได้เรียกว่า สระเสด็จ แล้วมีผู้เล่าเรื่องตำนานเขาหน่ อถวายว่า ภูเขาแห่งนี้เป็นที่นางพันธุรั ตตามมาพบพระสังข์ โดยมีมนต์มหาจินดาเขียนอยู่ที่ แผ่นศิลา ใครที่ได้มาเที่ยวที่เขาหน่อ นอกจากจะได้ตามรอยเสด็จประพาสต้ น ยังสามารถปีนบันไดลัดเลาะเหลี่ ยมเขาหินปูนขึ้นไปชมทิวทัศน์อั นสวยงามบนยอดเขา สัมผัสอากาศเย็นสบาย แล้วกัลลงมานมัสการพระนอน ให้อาหารฝูงลิงกว่าหมื่นตัว ปิดท้ายด้วยการชมขบวนพาเรดค้ างคาวนับล้านตัวที่น่าตื่นตาตื่ นใจได้ในยามเย็นย่ำของทุกวัน
3. วัดหัวดงใต้ เป็นสถานที่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงเสด็จประพาสต้นและประทั บแรมหน้าวัด ทำให้ที่นี้มีพระบรมรู ปจำลองของพระองค์ท่าน แกะสลักจากไม้สักทองทรงเครื่ องต้นสวยงาม และมีขบวนเรือเสด็จประพาสต้ นจำลองให้ศึกษา นอกจากนี้ที่วัดหัวดงใต้ยังมี หลวงพ่อโต พระพุทธรูปเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านให้กราบนมัสการอีกด้วย
4. วัดเก้าเลี้ยว พระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงเสด็ จประพาสต้นที่ชุมชนเก้าเลี้ยว ซึ่งเป็นตลาดเก่าโบราณมีชุ มชนชาวจีนหลายกลุ่มอาศัยอยู่ ที่ศาลเจ้าพ่อเก้าเลี้ยวของชุ มชนนี้ได้เก็บรักษาเกี้ยวเครื่ องดนตรีอายุกว่า 100 ปีที่เคยใช้รับเสด็จ ใครที่มาเที่ยวตลาดเก้าเลี้ ยวนอกจากจะมีร้านอาหารอร่อย ๆ และขนมหวานมากมายให้เลือกชิมกั นแล้ว ยังสามารถเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ท้ องถิ่น กราบพระบรมสารีริกธาตุ พระมหาเจดีย์พุทธชยันตี 2,600 ปีการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าได้ ที่วัดเก้าเลี้ยวที่อยู่ไม่ ไกลกันได้
5. วัดมหาโพธิใต้ (วัดหลวงพ่อเฮง) เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 300 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2199 ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิงฝั่งตะวั นออก ตรงข้ามเป็นวัดเขาดินใต้ ในสมัยนั้น หลวงพ่อเฮง เกจิดังที่รัชกาลที่ 5 ทรงเลื่อมใสได้ปกครองดูแลทั้ งสองวัด โดยทรงถวายเครื่องสังเค็ ตในงานศพพระองค์เจ้าอุรุพงษ์รั ชสมโภชให้กับหลวงพ่อเฮง ปัจจุบันเครื่องสังเค็ตนี้เก็ บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของวั ดมหาโพธิใต้
6. วัดเขาดินใต้ (วัดพระหน่อธรณินทรใกล้วาริ นคงคาราม) วัดชื่อยาวที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวั นตกของแม่น้ำปิงนี้ เป็นวัดพี่น้องกับวัดมหาโพธิใต้ ที่อยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำ เมื่อครั้งรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้นทางชลมารค ได้ทรงแวะท่ีวัดเขาดินใต้ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2449 ทรงสนธนาธรรมกับหลวงพ่อเฮง แล้วทรงเลื่อมใสในศีลาจารวั ตรของหลวงพ่อเฮงมาก จนทรงบริจาคเงิน 100 บาท ร่วมสร้างศาลาวัดเขาดินใต้ และทรงแต่งตั้งหลวงพ่อเฮงให้เป็ นพระครูชั้นพิเศษนาม พระครูพิสิษฐสมถคุณ ได้รับนิมนต์ไปในงานพระราชพิธี สำคัญต่าง ๆ ตลอดรัชกาล ใครที่มาเที่ยววัดเขาดินใต้ ต้องห้ามพลาดการชมมณฑปเก่าประดิ ษฐานรอยพระบาทจำลองสำริ ดหายากเป็น 1 ใน 8 รอยที่มีในประเทศไทย ที่พระศรีพัชรินทราบรมราชินี นาถในรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานในปี พ.ศ. 2456 เพื่อรำลึกถึงวัดที่พระพุทธเจ้ าหลวงเคยทรงเสด็จ แล้วเดินขึ้นบันไดนาคสวยงามเพื่ อขึ้นภูเขาหิน ที่มีตำนานเรื่องทางเข้าถ้ำลั บแล ไม่แน่ว่าอาจแว่วเสียงบรรเลงปี่ พากย์โบราณให้ได้ยินในบางเวลาก็ เป็นได้
7. วัดเขื่อนแดง (วัดศรีสุวรรณ) ที่หน้าวัดนี้มีศาลาที่ประทั บของรัชกาลที่ 5 สมัยที่เคยเป็นที่ตั้งของค่ ายทหารนครสวรรค์มาก่อน ครั้งที่เสด็จประพาสต้ นมณฑลนครสวรรค์ในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2449 พระองค์ได้ทรงประทับที่ศาลาหน้ าวัดแห่งนี้ แล้วเสด็จรับฟังการพิจารณาคดี ตามคำปรึกษาของศาลทหารในคดีอ้ ายวิม พลทหารที่ฆ่านายสิบตาย ซึ่งพระองค์ได้ทรงตัดสิ นไปตามพระราชกำหนดกฎหมายข้อบั งคับของค่ายทหารที่ตั้งขึ้ นมาใหม่ ปัจจุบันค่ายทหารนี้ได้ย้ ายไปอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของแม่ น้ำเจ้าพระยา ใช้ชื่อว่าค่ายจิรประวัติ เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ พระองค์เจ้าจิรประวัติ พระราชโอรสของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีความสามารถทางด้ านการทหาร ที่ได้ไปศึกษาด้านวิชาทหารในต่ างประเทศ จนได้เป็นเสนาธิการทหารบกคนแรก
8. วัดเกาะหงษ์ หรือวัดบ้านเกาะ แม้จะเป็นวัดเล็ก ๆ แต่พระพุทธเจ้าหลวงก็ได้ทรงให้ ความสำคัญคราวที่เสด็จประพาสต้น เพราะความแปลกประหลาดของพระสั งกัจจายน์ยืนยิ้มกุมท้องแปลกกว่ าที่อื่น ซึ่งพระองค์ทรงพอพระทัยเป็นอั นมาก จึงขออัญเชิญพระสังกัจจายน์ ไปแล้วพระราชทานทรัพย์จำนวน 1 ชั่ง (ประมาณ 80 บาท) เพื่อจัดสร้างองค์ใหม่ทดแทน ความแปลกของวัดเกาะหงษ์ยังไม่ หมดแค่นั้น ยังมีรอยพระพุทธบาทที่ไม่วางอยู่ บนแท่น กลับไปอยู่ที่ผนังโบสถ์แทน เป็นปริศนาธรรมอีกชิ้นหนึ่งให้ ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้เก็บไปขบคิ ดหาคำตอบกันเอาเอง
9. วัดพระปรางค์เหลือง วัดโบราณเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ ในอำเภอพยุหะคีรี มีการคำนวณอายุว่าสร้างขึ้ นประมาณปีพุทธศักราช 2305 ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย วัดนี้มีชื่อเสียงด้านภูมิปั ญญาแพทย์แผนโบราณในการรั กษาโรคเคล็ดขัดยอก และอัมพาตโดยวิธีการเหยียบฉ่า วิธีการรักษาที่สื บทอดมาจากตำราโบราณที่ให้ พระหมอใช้เท้าเหยียบยาสมุนไพร แล้วเหยียบลงบนแผ่นเหล็ กเผาไฟจนแดงร้อนจัด เหยียบลงบนคนไข้จนเกิดเสียงดั งฉ่า จนอาการต่าง ๆ ก็จะบรรเทาอาการลงและสบายขึ้น ซี่งพระพุทธเจ้าหลวงได้เคยเสด็ จมาดูวิธีการเหยียบฉ่าช่ วงประพาสต้นมนฑลนครสวรรค์ ทรงรับน้ำมนต์มหาจินดาสารพัดนึก น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่ อเงิน ที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ช่วงหยุดวันปิยะนี้ ใครที่ยังไม่มีโปรแกรมไปไหนก็ ลองมาเที่ยวไหว้พระ 9 วัดตามรอยเสด็จประพาสต้ นมณฑลนครสวรรค์กันได้ เพราะนอกจากจะได้ท่องเที่ยวชมวั ดเก่าแก่โบราณที่สวยงาม ได้ชื่นชมธรรมชาติในช่ วงปลายฝนต้นหนาว ได้นมัสการทำบุญ ได้ความรู้ประวัติศาสตร์ ของประเทศไทยเมื่อ 100 ปีที่ผ่านมา แล้วยังได้ซาบซึ้งในพระมหากรุ ณาธิคุณที่พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยเรา ได้เยอะแยะคุ้มค่าแบบนี้ไม่ มาเที่ยวนครสวรรค์ไม่ได้แล้ว