ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส เจเนอเรชั่นใหม่ ‘เพื่อไทย’ เตรียมลงสนามเลือกตั้ง 62

จากนักธุรกิจ นักดนตรี นักแต่งเพลง และอดีตศิลปินวงเอพริลฟูลส์เดย์ กับการตัดสินใจครั้งสำคัญในการลงสู่สนามการเมือง

สวมบทบาทนักการเมืองรุ่นใหม่ของ “พรรคเพื่อไทย” พร้อมลุยเลือกตั้งปี 62

หากถามถึงสาเหตุที่ทำให้ ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส ชายหนุ่มในวัย 28 ปีที่กำลังรุ่งกับธุรกิจส่วนตัว ตัดสินใจพลิกบทความครั้งสำคัญบนเส้นทางการเมือง

คงเริ่มต้นจากการมองเห็นสภาพบ้านเมือง ที่สร้างความเจ็บปวดในหลายความรู้สึก ทั้งความรู้สึกว่าไม่มีใครจริงจังที่จะเข้ามาพัฒนาบ้านเมือง

Advertisement

“เราใช้คำว่าจริงจังไม่พอ ไม่ว่าจะภาครัฐเองก็ดีหรือพรรคการเมืองเองก็ดี จริงจังกับการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองไม่พอ ผมคิดว่ามันถึงจุดอะไรสักอย่างที่เราต้องทำเพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ตัวผมเองเจอปัญหามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ทั้งเรื่องของคนกรุงเทพฯ เรื่องการคมนาคม เรื่องทางเท้าที่ไม่เอื้อเฟื้อต่อคนพิการ ก็ไปจนถึงการพัฒนาทรัพย์สินของรัฐเพื่อประชาชน ฯลฯ แต่ไม่มีใครจริงจังในการแก้ปัญหาเลย ผมรู้สึกเบื่อมาก รู้สึกอยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง”

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ ตรีรัตน์ตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมือง

“ผมไม่ได้บอกว่าผมจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ ผมไม่อยากพูดแล้วแต่ผมอยากทำมากๆ อย่างน้อยก็ขอแค่ให้ได้ทำ และไม่อยากใช้คำว่านักการเมืองเท่าไหร่นัก เพราะผมเบื่อนักการเมืองที่ก่อนจะเลือกตั้งสองสามเดือนก็มาไหว้ขอคะแนนจากประชาชนแล้วก็ไป แต่ไม่ได้เข้ามาแก้ปัญหาอย่างจริงจังเสียที”

Advertisement

ตรีรัตน์ยังระบุอีกว่า การเมืองสำหรับเขาเป็นแค่ภาคหนึ่งและเป็นการช่วยพัฒนาบ้านเมือง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำอย่างอื่นอีกเลย

“วันนี้มีคนบอกว่าผมเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ ผมอยากให้ทุกคนมองผมว่าเป็นนักที่อยากเข้ามาทำงาน หรือคิดว่าผมเป็นนักที่อยากเข้ามาพัฒนาบ้านเมืองดีกว่า”

สำหรับตรีรัตน์ หรือ ปุ๊น เป็นหนุ่มกรุงเทพฯ เกิดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2533 จบการศึกษาจากโรงเรียนนานาชาติเอกมัย ด้วยความชื่นชอบดนตรี เขาสอบเทียบเข้าวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เอกเปียโน ตอนอายุ 16 ปี ยังได้เข้าร่วมเป็นศิลปินวงเอพริลฟูลส์เดย์ ค่ายอาร์เอส รวมถึงเป็นนักแต่งเพลงอิสระ

เคยมีผลงานแต่งเพลงให้ศิลปินสังกัดอาร์เอส และเคยผลิตผลงานคอนเสิรต์ต่างๆ มากมาย

ปัจจุบัน ตรีรัตน์กำลังศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทลัย ภาคการเมือง การปกครอง ยังดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัท เปเปอร์กรีน และประธานกรรมการบริหาร บริษัท วอลล์คอม เทค จำกัด ผลิตระบบ Smart Home Automation ให้กับคอนโดชั้นนำและหมู่บ้านในเมืองไทย

นอกจากนี้ยังมีความสนใจในการทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคม จนได้เป็นตัวแทนเยาวชนไทยในการเข้าร่วมโครงการ One Young World Summit 2014 ที่กรุง Dublin และ One Young World Summit 2015 ที่กรุงเทพมหานครเป็นเจ้าภาพ และยังเคยเป็นอาสาสมัครเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายป้องกันและปราบปราม ที่สถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชย

ก่อนตัดสินใจลงสนามเลือกตั้ง ในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทย

ทำไมถึงเลือกทำงานการเมืองในนาม พท. ทั้งที่มีตัวเลือก มีพรรคเกิดใหม่จำนวนมาก?

ต้องบอกว่าผมได้รับโอกาสจากพรรค พท. ซึ่งตอนแรกผมก็คิดหนักเหมือนกัน เพราะต้องยอมรับว่าพรรค พท.เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เรามาถึงทุกวันนี้ด้วย ผมเข้าใจว่าหลายครั้งพรรคก็ถูกกระทำและถูกเอาเปรียบ แต่หากวิธีการของเราไม่รุนแรง อาจจะสามารถเปลี่ยนคนทั้งหมดที่เขาไม่ชอบเราให้มาชอบได้ เพราะถ้าคนรู้ว่าเราโดนรังแกวันหนึ่งเขาก็จะเชื่อเราเอง แต่เรากลับเลือกวิธีโต้กลับที่รุนแรง ซึ่งตรงนี้ทำให้ประเทศเดินหน้าไม่ได้

แต่ก็ต้องยอมรับว่าพรรค พท.สำหรับผมเป็นพรรคที่นโยบายดีมาก ผมได้บอกกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเสมอ ว่าสิ่งที่ผมอยากแก้คือปัญหาของพี่น้องประชาชน เมื่อเราเอาโจทย์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง ผมคิดว่าอะไรหลายอย่างน่าจะออกมาดี แต่น่าเศร้าตรงที่คนที่ลำบากเป็นคนที่มีเยอะมากในเมืองไทย ดังนั้นเมื่อเราช่วยเหลือคนที่ลำบากที่มีเยอะมาก ก็เลยมองว่าเราทำนโยบายเพื่อช่วยเหลือคนส่วนมากและอาจมองว่าสิ่งที่ทำพวกนี้เป็นเรื่องประชานิยม แต่เพราะว่าคนส่วนมากเขาลำบากไง แล้วถ้าเราไม่ช่วยคนลำบากก่อนจะให้ไปช่วยคนที่รวยก่อนหรืออย่างไร

ฉะนั้นเมื่อผมได้รับโอกาสจากพรรค พท.มา ผมจึงไม่ลังเลที่จะเข้าไปทำงาน และผมเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาที่ประชาชนสามารถตรวจสอบถ่วงดุลผ่านผู้แทนราษฎรได้ แต่วันนี้คุณกลับให้คนที่ไม่ได้รับอำนาจจากประชาชนเข้ามามีอำนาจเหนือประชาชน แล้วประชาชนไปอยู่ตรงไหนในการตรวจสอบถ่วงดุลตรงนี้

วันนี้เวลาที่มีการทุจริตคอร์รัปชั่นแล้วประชาชนโพสต์ด่าเต็มโซเชียลมีเดียคุณยังไม่ฟังเลย แล้วอนาคตหากเป็นคนที่มาจากการคัดเลือกอีกคุณจะฟังเขาหรือ ทั้งที่รัฐธรรมนูญระบุว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนทุกคน เราจะเดินไปในสังคมที่มีประชาธิปไตยเต็มใบ หรือครึ่งใบ จะเอารัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ถอดแบบมาจากรัฐธรรมนูญปี 2521 อย่างนั้นหรือ คุณกำลังเอาบริบทของปี 2521 มาใช้กับบริบทสังคมปี 2561 เวลามันผ่านมาตั้ง 40 ปีแล้ว เราจะออกแบบประเทศชาติให้เดินไปทางไหน

ในฐานะคนรุ่นใหม่ อยากเห็นประเทศเดินไปในทางไหน?

แน่นอนว่าต้องทางประชาธิปไตย ผมต้องการให้สังคมเดินไปบนความเสมอภาค มีความเท่าเทียม ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่ากันไม่ว่าจะเพศชาย หรือเพศหญิง แต่สิ่งที่ถูกทำในขณะนี้คือการกดสิทธิ หรือจำกัดสิทธิมากขึ้นในทุกวัน และไม่มีการตรวจสอบอะไรเลย ระบบนิติธรรมก็ไม่มี การตัดสินคดี บางคดีตัดสินเร็ว บางคดีไม่ตัดสินเลย หน่วยงานที่คิดว่าจะปราบปรามคอร์รัปชั่นมากที่สุดและประชาชนฝากความหวังไว้อย่างป.ป.ช. วันนี้ทำงานเป็นอย่างไร

ผมเห็นด้วยที่คนทำผิดต้องได้รับการลงโทษหมดทุกคนแต่ขออย่างเดียวคือความเสมอภาค ทำจริงกับทุกคน อะไรที่ต้องติดคุกก็ต้องทำให้หมด นี่เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่า เราอยากมาทำการเมือง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของโรงพยาบาล เรื่องของคนพิการ เรื่องคมนาคม รถเมล์คือภาพสะท้อนของความเหลื่อมล้ำ ในขณะที่เมืองนอกไม่ว่าจะคนรวย หรือคนจน ทุกคนขึ้นรถเมล์ไปทำงานแทบจะเหมือนกันหมด แต่ประเทศเราแบ่งฐานะหรือชนชั้นกันด้วยเรื่องคมนาคม การไม่บังคับใช้กฎหมายที่จริงจังในการที่จะไม่ให้มอเตอร์ไซต์วิ่งบนทางเท้า เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มันสะท้อนว่าคุณไม่สามารถทำหน้าที่ของคุณได้ดีพอ บวกกับความอยุติธรรมในระบบยุติธรรม เรื่องการคอร์รัปชั่น ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้ผมต้องลุกออกมาทำอะไรโดยไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่พรรคไหน

อนาคตไม่ว่าใครก็ควรที่จะลุกขึ้นมาทำได้หมด พูดได้หมด ไม่จำเป็นต้องมีสังกัด ทุกสิทธิทุกเสียงเท่าเทียมกัน แต่หากคุณไม่พูดจะไม่มีการตอบรับและเรายอมไม่ได้ นี่คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องทำเพื่อปกป้องทรัพยากรและอนาคตของบ้านเรา เป็นคนที่จะกำหนดทิศทางของประเทศชาติว่าจะเดินไปทางไหน ผมชอบพรรคอนาคตใหม่ที่ออกมานะครับ เพราะเขาทำให้พรรคการเมืองทุกพรรคตื่นตัว เขาทำให้หลายคนตื่นรู้มากขึ้น

ในฐานะคนรุ่นใหม่จะเชื่อมโยงแนวคิดกับพรรค ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นเก่าอย่างไร?

พรรค พท.มีความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคสูงมาก โดยเฉพาะในด้านของการแสดงความคิดเห็น พูดเลยว่าผมอายุน้อยสุด แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมพูดแล้วพี่ๆ ผู้ใหญ่ไม่ฟัง เขายอมรับฟังไอเดียที่แตกต่าง และพร้อมที่จะเปลี่ยนเสมอ ฉะนั้นจริงอยู่ที่พรรค พท.มีผู้ใหญ่เยอะ แม้ผู้ใหญ่บางครั้งอาจจะไม่ได้เก่งเทคโนโลยีเท่าคนรุ่นใหม่ แต่เมื่อเอาเทคโนโลยีเข้าไปบอกเขาก็ไม่เคยปิดใจที่จะรับเลย ดังนั้นที่ถามว่า จะเอาชุดความคิดของคนรุ่นใหม่ไปใช้กับคนรุ่นเก่าได้ไหม บอกเลยว่า ไม่ใช่อุปสรรคเขาฟังเด็กๆ ตลอด แล้วเขาก็คิดและอยากทำด้วย

ประสบความสำเร็จทางธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อย พอเข้ามาทำงานการเมืองรู้สึกว่ามีความแตกต่างหรือไม่?

ต้องบอกว่า ผมไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จนะภาคธุรกิจผมก็ไปได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ถามว่าความรู้สึกแตกต่างไหมระหว่างภาคธุรกิจกับภาคการเมือง ต้องบอกเลยว่าแตกต่างแต่ก็ไม่ได้ต่างกันมาก เช่น ลูกค้าของการเมืองคือประชาชน เราเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง แล้วหานโนบายหาวิธีการให้ประชาชนได้สิ่งที่ดีที่สุดและเกิดประโยชน์สูงสุดกับเขา ส่วนภาคธุรกิจ เวลาที่เราขายเรายึดผลประโยชน์ของผู้ซื้อกับผู้ขายเป็นหลัก

แต่ที่ทำให้ภาคการเมืองแตกต่างจากภาคธุรกิจอย่างมากคือการแบ่งพรรคแบ่งพวก เมื่อเราแบรนด์ตัวเองว่าเป็นคนเสื้อเหลือง เราเห็นนโยบายของคนเสื้อแดงเราจะกีดกันทันที โดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณหรือประเทศไทยหรือเปล่า ในขณะที่ธุรกิจ หากเราเป็นลูกค้ามีคนนำสินค้ามาเสนอ เราจะดูก่อนเลยว่าอันไหนราคา มีคุณภาพและคุ่มค่ามากที่สุด แต่วันนี้ในภาคของการเมือง ผมคิดว่า เราในฐานะประชาชนควรจะลดอัตตาลง และเลิกมองที่สีแล้วมาเลือกช้อปปิ้งนโยบายที่คิดว่าเหมาะกับเราและประเทศที่สุด อย่าเอาแบริเออร์มาสร้างเป็นกำแพงปิดกั้นความคิดของคุณเลย

“…การเมืองคือเรื่องของทุกคน
อยากให้ทุกคนอ่านนโยบายของทุกพรรค
แล้วเลือกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวคุณและคนส่วนมาก
วันนี้สิทธิอยู่ในมือคุณแล้ว ใช้ให้มันคุ้มค่า
เพราะมันจะเป็นตัวบอกอนาคตของคุณในวันข้างหน้า
ว่าเราจะเดินไปทางไหน…”

ทำไมเลือกทำงานการเมืองในช่วงรอยต่อ คสช. กับการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย ขณะที่หลายอย่างไม่ได้เอื้อต่อพรรคการเมือง?

อันดับแรกที่ต้องบอกเลยคือ จุดประสงค์ในการเข้ามาในเส้นทางการเมืองของแต่ละคน หากเข้ามาเพื่อชิงอำนาจก็ต้องคิดว่าที่ผ่านมาเคยได้มากกว่านี้แต่วันนี้อำนาจลดลง

แต่สำหรับผมมันคือการต่อสู้ระยะยาว ผมไม่ได้เข้ามาเพื่อมาเอาอำนาจ ผมอยากเข้ามาเพื่อพัฒนา แม้จะไม่มีการเมืองผมก็ทำของผมอยู่แล้ว แน่นอนการเมืองปัจจุบันมันยากแต่มันไม่ได้ทำให้ผมไม่อยากเข้ามาเลย เพราะผมไม่ได้อยากเข้ามาเพื่อเอาอำนาจและผมไม่ได้คิดว่าผมจะมาทำการเมืองเฉพาะตอนนี้ แต่เป็นการเข้ามาร่วมเปลี่ยนผ่านขบวนการนี้ในระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น

การเมืองไม่ใช่การลงทุน การเมืองไม่ใช่ธุรกิจ การเมืองคือการร่วมวางแผนทิศทางของประเทศ คือการร่วมกันวาดแผนที่ประเทศไทยว่าจะเดินไปทางไหน ไม่ใช่ว่าวันนี้มันแย่เราไม่เข้าไปทำ วันหน้าพรรคการเมืองมีอำนาจเยอะแล้วค่อยเข้ามา หลายคนอาจจะเป็นแบบนั้น แต่ผมไม่ใช่

แม้ พท.จะชนะการเลือกตั้ง แต่อาจจะบริหารชัยชนะไม่ยั่งยืน จะหาจุดแข็งอย่างไรให้พรรคสามารถดำเนินนโยบายได้ต่อเนื่อง?

ส่วนตัวผมคิดว่าพรรค พท. ณ วันนี้ต้องมีการทำนโยบายที่ช่วยเหลือคนทุกๆ กลุ่ม ไม่ใช่เฉพาะคนส่วนมาก แต่ต้องช่วยคนส่วนน้อยด้วย เราต้องโชว์จุดหมายปลายทางให้เขาเห็นว่าเราทำเพื่ออะไร เราต้องมีการแก้ไขภาพลักษณ์เดิม หรือจุดบอดเดิมที่เขาไม่ชอบในตัวเรา เราต้องมีสิ่งที่สามารถการันตีได้ว่าสิ่งที่เขากลัวหรือไม่ชอบจะไม่เกิดขึ้นอีก เราต้องมีนโยบายต่อส่วนรวม

คุณรู้ว่าพรรค พท.มีบุคคลหนึ่งที่เป็นคีย์แมนของพรรค วันหนึ่งความตั้งในการเข้ามาทำอะไรสักอย่างถูกกำหนดโดยคีย์แมนคนนั้นจะทำอย่างไร?

จะคีย์แมนหรือไม่คีย์แมน หากจุดหมายปลายทางของเขาคือการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมก็ดีทั้งนั้น พรรคอนาคตใหม่ คีย์แมนก็คือนายธนาธร จึงรุงเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ดังนั้น หากจุดประสงค์ของคีย์แมนคือการที่จะมาทำเพื่อส่วนรวม ผมไม่มีปัญหาเลย แต่หากสิ่งที่เขาจะทำนั้นจะสามารถทำให้ประเทศดีขึ้น คนรวยขึ้น เราได้ใช้นโนบายอย่างคุ้มค่า เราไม่ติดอะไรเลย

พท.มีปัญหาภายในพรรคเรื่องผู้นำพรรค ตัวคุณเองก็ถูกมองว่าเป็นเด็กของคุณหญิงสุดารัตน์ การเข้ามาทำงานตรงนี้จะประสานหรือเชื่อมจุดอ่อนที่เกิดขึ้นอย่างไร?

ก็ต้องบอกว่า นอกจากประชาชนที่แบ่งกันด้วยเสื้อเหลืองเสื้อแดงแล้ว คนในพรรคก็ต้องเลิกแบ่งพรรคแบ่งพวกด้วยเช่นกัน ส่วนผม ผมมองเป้าหมายเป็นหลักว่าทำเพื่ออะไรและทำเพื่อใคร เราต้องเป็นมืออาชีพได้แล้วและมองที่ผลลัพท์ปลายทาง ไม่ใช่แค่ใครเป็นหัวหน้า แต่ต้องทำงานร่วมกันเพื่อไปจุดหมายเดียวกัน
ซึ่งเป้าหมายที่ผมอยากเห็นพรรค พท.เดินไปนั้น ผมมองว่า พรรค พท.เป็นพรรคที่มีนโยบายดีอยู่แล้ว ก็ทำนโยบายที่ดีต่อไปเรื่อยๆ ทำเศรษฐกิจให้ดีเหมือนเดิม ผมอยากเห็นพรรค พท.เป็นพรรคของประชาชนไปเรื่อยๆ อยากเห็นพรรค พท.เอาเทคโนโลยีมาใช้ ผมคิดว่าน่าจะไปได้ดี และหนักแน่น เพราะความเป็นประชาธิปไตยของเรานั้นดีอยู่แล้ว

อยากสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจะมีโอกาสเลือกตั้งอย่างไร

ผมเข้าใจว่าคนรุ่นใหม่หลายคนไม่ค่อยอินกับการเมือง แต่ผมต้องขอบอกว่า การเมืองคือเรื่องของทุกคน อยากให้ทุกคนอ่านนโยบายของทุกพรรค แล้วเลือกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวคุณและคนส่วนมาก วันนี้สิทธิอยู่ในมือคุณแล้ว ใช้ให้มันคุ้มค่า เพราะมันจะเป็นตัวบอกอนาคตของคุณในวันข้างหน้าว่าเราจะเดินไปทางไหน

พื่อไม่ให้พลาดข่าวสารจากมติชน อย่าลืมกดติดตามเฟซบุ๊ก มติชนออนไลน์ เเละอินสตาแกรม matichonofficial

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image