นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาข้าวไทย ว่า ขณะนี้การซื้อขายข้าวและราคาข้าวค่อนข้างนิ่ง อาจเพราะการส่งออกชะลอตัว ซึ่งเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์พบว่าส่งออกหายไปเกือบครึ่ง และการบริโภคในประเทศก็ลดลงผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง จากการแพร่ระบาดของไวรัวโควิด19 ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ข้าวสารเจ้า 5% ราคาขยับจากตันละ 11,500 บาท เป็น 12,500 บาท เพราะมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าและถึงเวลาส่งมอบ แต่หลังจากนั้นราคาข้าวก็นิ่งมาตลอด ส่วนแนวโน้มราคาข้าวจะขยับอีกหรือไม่ คงต้องติดตามปัจจัยเรื่องการส่งออกจะกลับมาปกติหรือไม่ และภาวะภัยแล้งกระทบต่อปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกนาปรังปี 2563 แค่ไหน และผลต่อราคาข้าวในประเทศน่าจะมีการชัดเจนว่าจะขยับได้มากแค่ไหนคงต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือนจากนี้
“ปกติพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังในเขตชลประทาน ประมาณ 13 ล้านไร่ และให้ผลผลิตข้าวเปลือก 8-9 ล้านตัน รวมกับนาปีที่มีพื้นที่ 58-60 ล้านไร่จะให้ผลผลิต24 ล้านตัน รวมต่อปีจะได้ข้าวเปลือก 31-32 ล้านตัน แต่ภัยแล้งสลับท่วมในบางพื้นที่ อากาศผันผวนตั้งแต่ปีก่อนทำให้นาปีเสียหายบ้างส่วนแล้ว ก็ดูว่านาปรังรอบแรกที่จะเก็บในอีก 2 เดือนนี้จะเสียหายเท่าไหร่ จะหายไปครึ่งหนึ่งอย่างที่เอกชนประเมินหรือไม่ และต้องดูว่านาปรังรอบ2จะเริ่มปลูกหลังกลางปีนี้นั้นจะมีน้ำเพียงพอหรือไม่ เพราะหากผลผลิตหายไป40-50% และส่งออกกลับมาอีกครั้ง ย่อมมีผลต่อราคาข้าวในประเทศสูงขึ้น และมีผลต่อราคาข้าวถุงในประเทศ แต่ดูจากปัจจัยแวดล้อมทั้งการแข่งขันในตลาดข้าวโลกและในประเทศ เชื่อว่าแม้ราคาต้นทุนข้าวสูงขึ้นแต่เชื่อว่าขยับราคาไม่ได้มาก ดูจากข้าวเปลือกขยับขึ้นแต่ราคาข้าวสารขยับในอัตราน้อยกว่า และราคาที่ขยับยังต่ำกว่าช่วง 4 เดือนก่อน ” นายเกรียงศักดิ์ กล่าว
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า อยากให้หน่วยงานรัฐเร่งรัดในการตรวจสอบผลกระทบจากภัยแล้ง ว่าจะก่อความรุนแรงต่อปริมาณผลผลิตข้าวแค่ไหน เพราะตอนนี้หน่วยงานรัฐยังไม่ได้ออกตัวเลขผลเสียหายที่ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าปริมาณข้าวในประเทศไม่ได้ตึงตัว จนเกิดภาวะข้าวเพื่อการบริโภคในประเทศดีดตัวสูงขึ้น เพราะการแข่งขันด้านราคายังเห็นต่อเนื่องและน่าจะรุนแรงขึ้นหากการส่งออกไม่ดีขึ้น เพราะในประเทศจะแข่งขันกันหนักกว่าทุกปี ผู้บริโภคไม่น่าจะกังวลหากราคาข้าวจะสูงบ้างก็ไม่น่าจะมากจนกระทบต่อความเป็นอยู่หรือมีผลต่อปรับราคาอาหารทานนอกบ้าน
