ประชันวิสัยทัศน์ โดนัลด์ ทรัมป์-โจ ไบเดน ศึกชิงประธานาธิบดีสหรัฐ 2020

ประชันวิสัยทัศน์ โดนัลด์ ทรัมป์-โจ ไบเดน ศึกชิงประธานาธิบดีสหรัฐ 2020

ประชันวิสัยทัศน์ โดนัลด์ ทรัมป์-โจ ไบเดน
ศึกชิงประธานาธิบดีสหรัฐ 2020

การหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเข้าขั้นดุเดือดเผ็ดร้อน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พรรครีพับรีกัน ผู้ซึ่งคาดหวังจะครองตำแหน่งอีก 1 สมัย ได้เผชิญหน้ากับโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงของพรรคเดโมแครต เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ (Debate) ครั้งแรก ณ มหาวิทยาลัยเคสเวสเทิร์นรีเสิร์ฟ คลีฟแลนด์รัฐโอไฮโอ เมื่อค่ำวันอังคารที่ 29 กันยายน ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐ

การดีเบตใช้เวลา 1 ชั่งโมงครึ่ง สรุปโดยรวมเสมือนละครฉากหนึ่ง ซึ่งเป็นละครทะเลาะวิวาท โต้เถียง เสียดสี ถากถาง พูดแทรก พูดขัด และแย่งกันพูด

แม้เป็นเรื่องส่วนตัวในบ้าน ก็ยกเอามาเป็นประเด็น โจมตีซึ่งกัน

Advertisement

เป็นการดีเบตที่วุ่นวายและขาดไร้คุณภาพ

กรณีไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์อเมริกันมาก่อน

ทรัมป์พยายามพูดขัดเพื่อยั่วยุ เพราะจุดอ่อนของไบเดนคือยิ่งพูดมากก็ยิ่งผิดมาก พฤติกรรมอาจเป็นการเอาใจผู้สนับสนุนประเภท “ฮาร์ดคอร์” ในอดีต แต่วันนี้ต่างกับเมื่อวันวาน

Advertisement

เพราะวันนี้ทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดี พฤติกรรมจึงเป็นการทำลายภาพลักษณ์

จากการสำรวจประชามติหลังจากการดีเบต ปรากฏว่า ไบเดนได้รับความนิยมมากกว่า

ประเด็นที่จะต้องพิจารณาจึงมีอยู่ว่า เลือกตั้งสมัยที่แล้ว การดีเบตของโดนัลด์ ทรัมป์ สู้ “ฮิลลารี คลินตัน” ไม่ได้ แต่ในที่สุด โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ

ต้องยอมรับความจริงว่า บัดนี้ สังคมอเมริกันแตกแยก ทัศนคติทางการเมืองแยกเป็น 2 ขั้ว

เนื้อหาสาระที่สำคัญในการดีเบตแตกต่างจากกาลอดีตเป็นอันมาก

การดีเบตที่ไม่มีคุณภาพย่อมมีแนวโน้มทำให้ swing voters หมดความสนใจในการลงคะแนน

อัน swing voters คือผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจจะลงคะแนนให้ผู้ใด เพราะอยู่ระหว่างรับฟังวิสัยทัศน์ ถ้าคู่แข่งได้รับความนิยมสูสีกัน คะแนนของกลุ่มนี้ลงให้ฝ่ายใดฝ่ายนั้นก็ชนะ

แต่เมื่อการแสดงวิสัยทัศน์กลายเป็นการทะเลาะวิวาท ผู้ใช้สิทธิที่รอฟังอยู่นั้นยังมิได้รับทราบข้อมูล เพื่อประกอบการพิจารณาในการตัดสินใจ อาจเกิดความเบื่อหน่าย

การประชันวิสัยทัศน์ทางโทรทัศน์ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1960

ถือเป็นเวทีที่อเมริกันชนและประชาคมโลกรับทราบนโยบายและวิสัยทัศน์ของผู้สมัคร

และก็ถือเป็นการเมืองระบอบประชาธิปไตยที่ใช้ตรรกะในเชิงสัญลักษณ์

กาลอดีตทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต ล้วนได้ใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน อีกทั้งมีการเตรียมการในการดีเบต เป็นการดีเบตที่มีมาตรฐานสูงยิ่ง

แต่การ “ดีเบต” ครั้งนี้ของโดนัลด์ ทรัมป์ กับโจ ไบเดน ไม่ปรากฏมีผลสำเร็จ

การดีเบตเพียง 90 นาทีล้วนเป็นการล้วงลูกซึ่งกัน และใช้คำพูดไม่สุภาพ

ลำพัง โดนัลด์ ทรัมป์ ได้พูดแทรกขัดจังหวะไบเดนระหว่างดำเนินรายการเกินกว่า 17 ครั้ง จนเป็นเหตุทำให้ไม่สามารถแสดงวิสัยทัศน์ในประเด็นที่มีความสำคัญ

ก็เพราะแย่งกันพูด จึงเป็นเหตุให้ผู้ฟังไม่สามารถรับฟังนโยบายการบริหารประเทศ

ขนาดพิธีกรเรืองนามชื่อ Chris Wallace แห่ง Fox News ยังคุมสถานการณ์ไม่ได้

ในที่สุดก็ได้แต่พูดเสียงดังให้ทั้งคู่หยุดวิวาท

เมื่อเริ่มต้นรายการ ดูประหนึ่งว่าไบเดนวางมาดเสมือนเป็นประธานาธิบดี แต่เนื่องจากทรัมป์ได้ขัดจังหวะถี่ยิบ ทนไม่ได้ จึงเรียกให้ทรัมป์ “หุบปาก”

บรรยากาศบนเวทีได้กลายเป็นการโจมตีที่ตัวบุคคลในพริบตา ไบเดนได้พรรณนาว่าทรัมป์คือ “ตัวตลก” “ประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน” “ลูกหมาของปูติน” เป็นต้น

ส่วนทรัมป์ก็ได้เอาเรื่องบุตรของไบเดนเสพยามาเป็นเชื้อเพื่อเผาตอบ

ความจริงของการประชันวิสัยทัศน์ครั้งนี้

1 การให้ Chris Wallace เป็นพิธีกรนั้น ได้รับความเห็นชอบจากทรัมป์และไบเดนแล้ว

1 พิธีกรได้ส่งประเด็นคำถามให้เตรียมตัวตอบล่วงหน้าแล้ว

แต่ทั้งคู่คงกินยาผิด พูดเรื่องที่ไม่ควรพูด เรื่องที่ควรพูดก็ไม่พูด เช่น

1 สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีน

1 โรคระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

1 อัตราคนว่างงานสูง

อายุของทรัมป์และไบเดนล้วนเกินเลข 7 คนแรก 74 คนหลัง 77 รวมกันเท่ากับ 151

แต่วันนี้ โนนัลด์ ทรัมป์ กลับขุดเอาเรื่องของ 50 ปีก่อนมาเล่นโดยตำหนิว่าไบเดนสมัยนั้นว่าหัวไม่ดี เรียนหนังสือไม่เก่ง เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่เกิดประโยชน์อันใด

ดังนั้น จะให้มองอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศ

กรณีน่าจะเหมือนกับเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาทะเลาะกัน

ยังไงยังงั้น

ในด้านตรรกะ การแสดงวิสัยทัศน์เลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น

เป็นเรื่องที่ต้องให้ข้อมูลอันเกี่ยวกับนโยบายการบริหารประเทศแก่ผู้ใช้สิทธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการดึงดูดผู้ใช้สิทธิประเภท swing voters ได้อย่างดี

แต่เวลาและโอกาสเช่นนั้นได้จบลงแล้ว

สังคมอเมริกันเปลี่ยนไป

สถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป

ต้องยอมรับสัจธรรม 1 ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ และโจ ไบเดน มีส่วนทำให้เปลี่ยนไป

จากการสำรวจ swing voters ได้ลดลงเหลือประมาณร้อยละ 10 เท่านั้น

การทะเลาะวิวาทนอกประเด็น สาวไส้เรื่องส่วนตัว คุณภาพถดถอย เป็นเหตุให้พวกเขาเบื่อหน่ายต่อการเมือง ฉะนั้น โอกาสที่จะอาศัยพวกเขาลงคะแนนให้คงเหลือน้อยมาก

ดังนั้น ไม่ว่าทรัมป์ ไม่ว่าไบเดน คงต้องอาศัยฐานเสียงของตนที่มีอยู่เป็นหลัก

เพราะเนื่องผลจากการดีเบตครั้งแรก ทั้งคู่ไม่ได้รับประโยชน์อันใด

หากมองกลับอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนว่าทรัมป์ต้องการทำให้บรรดา swing voters เกิดความเบื่อหน่าย แล้วถอยไปเอง เพราะฐานเสียงของเขาแน่นอยู่ และคงแน่นกว่าไบเดน

หากนับจากวันที่ 3 ตุลาคม ถึงวันเลือกตั้งคือ วันที่ 3 พฤศจิกายน เหลือเวลาเพียง 1 เดือน

จากการสำรวจประชามติโดยรวม ไบเดนนำทรัมป์ร้อยละ 6 แต่ก็มีรัฐสำคัญอยู่หลายรัฐ คะแนนของทั้งคู่ยังสูสีกันอยู่ จึงยังไม่ควรประเมินค่าของทรัมป์ต่ำไป

แม้ว่านิวยอร์กไทม์เปิดเผยบันทึกการชำระภาษีของทรัมป์ในมุมลบก็ตาม

แต่ทรัมป์ได้แถลงเมื่อ 4 ปีก่อนไปแล้วว่า พ่อค้าที่ฉลาดก็ต้องรู้วิธีการหลบภาษี

จึงน่าเชื่อว่า ประเด็นภาษีคงมีผลกระทบไม่มาก

แต่ประเด็น “ตุลาเซอร์ไพรส์” เป็นความระทึกในดวงหทัย

1 ทะเลจีนใต้

1 สองฝั่งช่องแคบจีนแผ่นดินใหญ่และจีนไต้หวัน

1 ความขัดแย้งตะวันออกกลาง

มองข้ามมิได้

ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image