เปิดใจ ไกรเกียรติ คูณธนทรัพย์ อดีตกองหลังจอมบู๊ สู่บทบาทโค้ชสายบุ๋น
ไกรเกียรติ คูณธนทรัพย์ อดีตกองหลังทีมชาติไทยจอมบู๊ของวงการฟุตบอลไทย หลังจากผ่านประสบการณ์ลูกหนังกับ พนักงานยาสูบ, บีอีซี เทโรศาสน, การไฟฟ้าฯ , ธนาคารกรุงไทย, บางกอกกล๊าส เอฟซี, แคชทูเดย์ จันทบุรี, บุรีรัมย์ พีอีเอ, วัวชน ยูไนเต็ด และ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี และ เชียงใหม่ เอฟซี เคยคว้าแชมป์ซีเกมส์ และ ไทยลีก กับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาแล้ว
จากนั้นได้ ไกรเกียรติ แขวนสตั๊ดเมื่อปี 2016 ก่อนเข้ารับงานหัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีมเยาวชน รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ของ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี และทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนในทีม “สวาทแคท” ภายใต้การคุมทัพของ “โค้ชโจ” ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น ในปัจจุบัน
ล่าสุด ไกรเกียรติ เอาจริงเอาจังในการพัฒนาตัวเองในสายงานผู้ฝึกสอน ด้วยการเข้าร่วมการอบรมหลักสูตร AFC ‘B’ Certificate Coaching Course ตามโครงการพิเศษ “เพื่อฟุตบอลไทย เราไปด้วยกัน”
ไกรเกียรติ เปิดใจว่า อยากพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมาได้เรียน ซี ไลเซนส์ มาแล้ว เมื่อสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เปิดอบรม บี ไลเซนส์ เลยตัดสินใจเข้าเรียนทันที
แม้จะผ่านประสบการณ์ลูกหนังไทยมากว่า 10 ปี แต่อดีตกองหลัง “ช้างศึก” รายนี้เชื่อว่าคงไม่พอ เพราะฟุตบอลในปัจจุบันก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ไกรเกียรติ กล่าวอีกว่า คิดว่าฟุตบอลสมัยนี้พัฒนาไปไกลกว่าตอนเป็นนักฟุตบอลมาก แม้ตัวเองจะเป็นอดีตนักฟุตบอลมาก่อน แต่การเอาความรู้หรือประสบการณ์สมัยเป็นนักเตะไปสอนมันไม่พอ การฝึกสอนฟุตบอลสมัยนี้นอกจากความรู้ทางฟุตบอลที่มีอยู่แล้ว ทฤษฎีการฝึกสอนที่ถูกต้องก็เป็นสิ่งจำเป็นมาก ทำให้เราต้องพยายามหาความรู้ใหม่ๆ มาเพิ่มเติม
“ความยากในการเป็นโค้ชก็คือต้องรับผิดชอบทั้งในและนอกสนาม ทุกอย่าง ทุกขั้นตอนต้องทำอย่างละเอียด หวังว่าประสบการณ์และความรู้จากการเรียน บี ไลเซนส์ ครั้งนี้จะเป็นก้าวที่สำคัญของการเป็นโค้ชต่อไปในอนาคต”
สำหรับ ผู้ฝึกสอนที่จบหลักสูตรระดับ บี ไลเซนส์ จะสามารถทำหน้าที่ในระดับอาชีพ อาทิ การเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนในระดับ โตโยต้า ไทยลีก (ไทยลีก 1) หรือ การเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน ในระดับ M-150 แชมเปี้ยนชิพ (ไทยลีก 2)
จากนั้นเมื่อมีประสบการณ์ทำงานครบ 1 ปี ในการทำหน้าที่ สามารถเข้าอบรมหลักสูตรผู้ฝึกสอนในระดับ “เอ ไลเซนส์” หรือ AFC ‘A’ Certificate Coaching Course ได้ต่อไป
