ตามดวงโหราเหมือนประหนึ่งว่ารัฐบาลกำลังเผชิญหน้ากับสภาพ “พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก”
ย้อนกลับไปถึงการจัดการปัญหา Call Out ที่กระหึ่มโลกโซเชียล
รัฐบาลออกประกาศ ฉบับที่ 29 ตามความใน มาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548
หวังจะปิดช่องทางการสื่อสารทางออนไลน์ และยังตีความรวมถึงสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ด้วย
คำสั่งดังกล่าวปลุกให้ผู้มีอาชีพสื่อสารมวลชนต้องออกมาร้องต่อศาลแพ่ง
กระทั่งวันที่ 6 สิงหาคม ศาลแพ่งมีคำสั่ง
“ข้อกำหนด ข้อ 1.ที่ห้ามเผยแพร่ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว มิได้จำกัดเฉพาะข้อความอันเป็นเท็จดังเหตุผลและความจำเป็นตามที่ระบุไว้ในการออกข้อกำหนดดังกล่าว ย่อมเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของโจทก์ทั้ง 12 และประชาชนที่รัฐธรรมนูญบัญญัติคุ้มครองไว้…
และ
“ข้อกำหนด ข้อ 2. ที่ให้อำนาจระงับการให้บริการอินเตอร์เน็ตแก่เลขที่อยู่ไอพี (IP address) ที่มีการเผยแพร่ข้อความหรือข่าวสารในอินเตอร์เน็ตที่ฝ่าฝืนข้อกำหนด ไม่ปรากฏว่ามาตรา 9 ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีออกข้อกำหนดให้ดำเนินการระงับการให้บริการอินเตอร์เน็ต จึงเป็นข้อกำหนดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย…
และ
ยังมีมาตรการทางกฎหมายหลายฉบับให้สามารถดำเนินการเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อความหรือข่าวสารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายผ่านช่องทางสื่อสารต่างๆ อีกทั้งรัฐสามารถใช้สื่อวิทยุและโทรทัศน์ในกำกับเป็นเครื่องมือในการให้ความรู้เพื่อการรู้เท่าทัน สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนแก่ประชาชนได้
ศาลแพ่งจึงมีคำสั่งห้ามการบังคับใช้ข้อกำหนดดังกล่าว
และหลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ยกเลิกประกาศฉบับที่ 29
ถือเป็นการถอยร่นในเชิงการบริหารที่เห็นได้ชัดแจ้ง
ขณะเดียวกัน ปัญหาเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ระบาดอย่างหนักในประเทศไทยก็อยู่ในเกณฑ์ “คุมไม่อยู่”
กระทรวงสาธารณสุขเคยประเมินว่าจะมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มถึง 4 หมื่นรายต่อวัน ถ้าไม่มีมาตรการควบคุมยับยั้ง
ล่าสุด นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ จากโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ประเมินว่า ใน 100 วันต่อไปนี้ ถือเป็น 100 วันอันตราย โดยอาจจะมีผู้ติดเชื้อในประเทศไทยประมาณ 35 ล้านคน
หรือประมาณครึ่งประเทศ
ข้อเสนอของ นพ.มนูญ คือการเร่งนำวัคซีนเข้ามาฉีดให้กับคนไทยให้เร็วที่สุด และมากที่สุด
แต่วัคซีนส่วนใหญ่ที่ไทยสั่งซื้อจะเริ่มเข้ามาในไตรมาส 4 หรือระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคมนี้เป็นต้นไป
ขณะที่แผนการป้องกันด้วยการเร่งคัดกรองผู้ติดเชื้อด้วยชุดตรวจ แอนติเจน เทสต์ คิท หรือ เอทีเค เพื่อจะได้ให้ยารักษาผู้ป่วยแต่เนิ่นๆ
หากผู้ป่วยหายเร็ว ปัญหาเตียงตึงเตียงล้นก็จะน้อย และยังลดโอกาสเชื้อลงปอดซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิต
ทั้งนี้มีกำหนดการแจกเอทีเคให้ประชาชนตรวจจำนวน 8.5 ล้านชุด ภายในสิ้นเดือนนี้
แต่ก็เกิดปัญหาอีก เมื่อเอทีเคที่องค์การเภสัชกรรมตัดสินใจเลือก กลายเป็นเอทีเคที่แพทย์ผู้ปฏิบัติงานไม่ยอมรับ เนื่องจากสหรัฐอเมริการะบุว่าเสี่ยง
ขณะที่ชุดเอทีเคที่องค์การอนามัยโลกรับรอง กลับไม่ได้รับการคัดเลือก
กลายเป็นปัญหาเรื่องคุณภาพที่ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม ต้องสั่งชะลอซื้อ
นอกจากนี้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นยังผูกโยงไปถึงข้อเสนอจากกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องการให้รัฐบาลคุ้มครองแพทย์และเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานในช่วงโรคโควิด-19 ระบาด
แต่ในข่าวที่หลุดรั่วออกมา ความคุ้มครองดังกล่าวได้ผนวกรวมไปถึงผู้ทำหน้าที่จัดหาวัคซีน
ก่อเกิดเป็นความหวาดระแวงว่า รัฐบาลจะออกกฎหมายมาคุ้มครองตัวเอง
คุ้มครอง ศบค.
คุ้มครอง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าใหญ่ของ ศบค.
แนวความคิดที่จะคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์จึงกลายเป็นคำถามว่าทำไมต้องออกเป็นกฎหมาย ทำไมต้องออกเป็นพระราชกำหนด
ทำไมจึงรีบร้อนเร่งด่วนเช่นนั้น
ด้านการเมือง นับวันกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มมีจำนวนคนที่มากขึ้น
ส่วนหนึ่งคือกลุ่มผู้ชุมนุมเดิมที่ออกมาเรียกร้องข้ามปี แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมและผู้สนับสนุนการชุมนุมกลุ่มใหม่
กลุ่มนี้ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์โรคระบาดและสถานการณ์เศรษฐกิจ
ทั้งกลุ่มเดิมและกลุ่มใหม่ มองเห็นร่วมกันว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น คาร์ม็อบที่ชุมนุมบีบแตรไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีผู้เข้าร่วมพอประมาณ ก็ขยับขยายกลายเป็นขบวนคาร์ม็อบที่ขับเคลื่อนเนืองแน่นถนน
การชุมนุมประท้วงเริ่มปลุกติดอีกครั้ง
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังใช้วิธีการสลายการชุมนุม อาศัยรถฉีดน้ำ ใช้แก๊สน้ำตา และยิงกระสุนยาง
ผลที่ตามมาคือความโกรธเกลียดที่แพร่กระจายไปทั่ว
ทำให้การชุมนุมเริ่มนัดเวลาถี่ขึ้น จากสัปดาห์ละครั้ง กลายเป็นสัปดาห์ละหลายครั้ง
รูปแบบการชุมนุมเริ่มมีความรุนแรง มีการขว้างปาเจ้าหน้าที่ มีการเผารถตำรวจ เผาป้อมจราจร
ณ วันนี้เป้าหมายของกลุ่มผู้ชุมนุมคือบ้านพักนายกรัฐมนตรี
ความโกรธเกลียดพุ่งตรงไปที่ พล.อ.ประยุทธ์
จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งปัญหาโรคระบาด ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ทุกอย่างได้เชี่ยมโยงกับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
ปัญหาการบริหารจัดการ จึงเป็นรากเหง้าของปัญหาที่ต้องมีการแก้ไข
เพราะถ้าแก้ปัญหาการบริหารงานไม่ได้ ปัญหาเก่าที่เรื้อรังมานานก็จะทวีความรุนแรงขึ้น ขณะที่ปัญหาใหม่จะเพิ่มพูนไม่หยุดหย่อน
แม้รัฐบาลมีเป้าหมายอยู่จนครบวาระ และมีความตั้งใจที่จะหวนกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง
แต่ถ้าต้นตอของปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข
ยิ่งอยู่นาน ปัญหายิ่งมาก
จากปัญหาการบริหารเริ่มกลายเป็นปัญหารัฐบาล
จากปัญหารัฐบาลกลายเป็นปัญหาประชาชน
และกลายเป็นปัญหาของประเทศที่แก้ไขได้แค่ปลายเหตุเท่านั้น