ผู้เขียน | วิชัย เทียนถาวร |
---|
“การเปลี่ยนแปลง” ใดๆ ย่อมมีผลกระทบต่อปัจจัยสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และอื่นๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดต่อ “คน” ซึ่งตามทฤษฎีของการเปลี่ยนแปลง มักจะพูดเสมอๆ สำคัญที่สุดอยู่ที่ “การปรับตัว” ที่จะทำให้อยู่รอดได้ แม้กระทั่ง “วิกฤตโควิด-19” ทั่วโลก ไม่เว้น “คนไทย” เราเองจะได้ยินจากผู้บริหารระดับสูงของบ้านเมืองพูดเสมอๆ ต้องทำใจและ “ปรับตัว” ของคนไทยให้อยู่กับไวรัสร้ายโควิด-19 ให้ได้ จะสิ้นสุดปีใดสุดที่จะคาดเดาได้ ให้มองอนาคตข้างหน้าไว้ว่า จะเหมือนกับการมีวิถีชีวิตแบบ “New Normal” คือ “วิถีมีชีวิตใหม่” ให้มองดูคล้ายว่าท้ายสุดเหมือนกับที่เราอยู่กับไข้หวัดใหญ่จนเป็นโรคประจำถิ่นของคนทั่วโลก รวมถึงคนไทย แต่ก็ต้องมีการฉีด “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ปีละ 1 เข็ม จนอยู่เป็นวิถีชีวิตปัจจุบัน
แต่เหตุการณ์โควิด-19 ที่ระบาดหนักในปี 2562 ปลายปีจนถึงปัจจุบัน พ.ศ.2564 อุบัติการณ์การเกิดต้นน้ำ-กลางน้ำ เรื่อยมายังถึงปัจจุบัน การระบาดจุดเริ่มต้น จุดกระจาย จุดขยาย “จุดควบคุมยุทธศาสตร์เหตุแห่งต้นปฐมเหตุ” ก็ยังไม่สามารถ “ควบคุมป้องกัน” ได้ เกิดความโกลาหลไร้ระบบระเบียบ จับต้นชนปลายไม่ถูก โยนกันไปโยนกันมา ก็คือ “เขตกรุงเทพมหานคร” เมืองหลวงของประเทศไทย ซึ่งมีการปกครองแบบท้องถิ่นที่มี “ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร” เป็น “พ่อเมือง” การระบาดก็ยังคงเกิดอยู่จนถึงปัจจุบัน จะด้วยเหตุความซับซ้อนของ “โครงสร้าง” ปกครองมี 50 เขต ด้วยระบบระเบียบซับซ้อนก็ยังคงมีการระบาดอยู่และกระจายไปต่างจังหวัดประปราย ซึ่งบ่งบอกถึงเวลา “การระบาดของโรค” เกิดขึ้นแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุด ความเป็นเอกภาพของการบริหาร การจัดการ การมีส่วนร่วมกันทั้งองคาพยพมีความจำเป็นยิ่งยวด ในการที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ การกระจายอำนาจเป็นเรื่องที่ดี และควรทำแต่บางเรื่องบางกิจกรรมต้องตระหนักเพราะทุกอย่างการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เหมือน “เหรียญมี 2 ด้าน” ได้เสมอ
แต่ปัจจัยบางอย่างขึ้นอยู่กับองค์ประกอบบางอย่างด้านเทคนิค วิชาชีพ “ความเป็นผู้นำ” ในศาสตร์ต่างๆ ย่อมมีผลต่อผู้ตามผู้ร่วมงาน ในการที่จะดูแล “คน” ซึ่งเป็นเรื่องของ “ชีวิต” คน “ชีวิตมนุษย์” ท้ายสุดคือ “ประชาชน”
เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นกับวงการสาธารณสุข ว่าด้วยการโอนย้าย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปอยู่ท้องถิ่น
ผู้เขียนขออนุญาตเสนอ “ข้อคิดข้อเสนอ” ของกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา ส่งหนังสือด่วนถึงท่านนายกฯ ขอให้ยับยั้งการถ่ายโอน “รพ.สต” ให้ อบจ. ระบุ 10 เหตุผล ขอทบทวนให้รอบคอบ ก่อนจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 ระบุว่า…
ด้วยคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา ได้พิจารณาศึกษาและติดตามการดำเนินการถ่ายโอนภารกิจ รพ.สต. ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ อบจ. อย่างต่อเนื่องพบว่า คณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดเร่งรัดให้มีการถ่ายโอนภารกิจ โดยมี รพ.สต. ที่ยื่นความประสงค์ 3,036 แห่ง ซึ่งจากการประเมินของ อบจ. ที่รับโอนถ่าย จำนวน 49 แห่ง โดยมีหลักเกณฑ์
⦁ ให้ถ่ายโอนอำเภอละ 1 แห่ง สำหรับ อบจ. ที่ผ่านเกณฑ์ประเมินระดับดี
⦁ และอำเภอละ 2 แห่ง สำหรับ อบจ. ที่ผ่านเกณฑ์ระดับดีมาก
⦁ และทุกแห่ง สำหรับ อบจ. ที่ผ่านเกณฑ์ระดับดีเลิศ
โดยกำหนดให้วันที่ 7 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมาเป็นวันสุดท้ายในการยื่นเอกสาร สำหรับ รพ.สต. ที่ไม่ประสงค์ถ่ายโอน เพื่อให้ทันการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 นั้น
1) บุคลากร หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่จะถ่ายโอนยังไม่ได้รับข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจ และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติยังไม่ได้พิจารณาประชุมในเรื่องนี้
2) พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 กำหนดให้มีแผนและขั้นตอนแต่การถ่ายโอนไป อบจ. ครั้งนี้เป็นเรื่องใหม่ เนื่องจากการถ่ายโอนที่ผ่านมาก โอน รพ.สต. ให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลเท่านั้น จึงไม่มีแผนและขั้นตอนการถ่ายโอนไป อบจ.ให้บุคลากรด้านสาธารณสุขรับทราบแต่อย่างใด
3) หลังจากปี 2542 มีพระราชบัญญัติออกมาบังคับใช้อีกหลายฉบับ มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดด้านกระจายอำนาจหลายประการ แตกต่างจากแนวคิด ปี 2542 จึงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายทุกฉบับโดยรัฐธรรมนูญ
4) ระบบสาธารณสุขและเครือข่ายสาธารณสุขมีระบบส่งต่อผู้ป่วยระหว่างเครือข่าย ไม่ได้มีลักษณะ Stand alone เหมือนระบบการสาธารณะอื่นๆ
5) ระบบสาธารณสุขมีการวางรากฐานและการพิจารณาเป็นขั้นตอนมาอย่างยาวนานร่วม 100 ปี จนสร้างระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่งเป็นประโยชน์ต่อชุมชน เคยอยู่ถึงอันดับ 6 ของโลกมาแล้ว
6) การจัดสรรงบอุดหนุนจากท้องถิ่นมาสมทบเป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้ รพ.สต. ได้งบประมาณเข้ามาเติมในระบบ แต่ควรคำนึงถึงระยะยาวว่าอาจจะเป็นภาระงบประมาณแผ่นดินหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเพียง 8 ปี ท้องถิ่นใช้งบอุดหนุนเพิ่มมากถึง 726 ล้านบาท สำหรับ รพ.สต. ที่ถ่ายโอนเพียง 5 แห่ง
7) การถ่ายโอน รพ.สต. เป็นนโยบายสาธารณะที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างมาก จึงควรดำเนินการอย่างรอบคอบเป็นขั้นเป็นตอน
8) การกระจายอำนาจเป็นหลักการที่ดี แต่มีหลายวิธีไม่ใช่เพียงการถ่ายโอนเท่านั้น
9) นโยบายสาธารณะที่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง สมควรทำประชามติหรือสอบถามประชาชน โดยตรงว่าเห็นด้วยหรือไม่ แต่ยังไม่มีการดำเนินการขณะนี้
10) ระบบสุขภาพปฐมภูมิมีผลกระทบที่ประจักษ์มาแล้วในการควบคุมโรคระบาดไวรัสของโควิด-19 และในอนาคตอาจมีการระบาดใหม่ ที่อาจมีความรุนแรงกว่าเดิม ต้องอาศัยเครือข่ายของระบบสาธารณสุขที่จะต้องทำงานร่วมกันเหมือนปัจจุบันไม่ควรแยกจากกัน เพราะอาจสร้างปัญหาเหมือนกรุงเทพมหานคร ดังที่ผ่านมา
คณะกรรมาธิการฯ จึงขอให้มีการศึกษากรณีดังกล่าวให้รอบคอบ ก่อนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2566 ซึ่งจะเป็นการดำเนินการอย่างรวบรัดจนทำให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ในลักษณะที่ยากต่อการแก้ไข และขอเสนอให้ตั้ง “คณะกรรมการ” เพื่อศึกษาปัญหาและผลกระทบจากการถ่ายโอนดังกล่าว เพื่อให้การถ่ายโอนเป็นไปอย่างรอบคอบและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนและเจตนารมณ์ของกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องต่อไป
ผู้เขียนในฐานะเคยทำงานในกระทรวงสาธารณสุข เห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ นับว่ามีประโยชน์ต่อ “ประชาชน” อย่างมาก เพื่อให้ความคิดรอบคอบ และจะได้ไม่เกิดผลกระทบตามมา ที่สำคัญ คือ “ประชาชน” ในทางลบ เชื่อว่า “รัฐบาล” น่าจะดำเนินการ ศึกษาให้รอบคอบก่อนเพื่อผลที่ได้จะบังเกิดอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ไงเล่าครับ
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร
อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข