โรงไฟฟ้าขยะเคลื่อนที่ รอลุ้น‘รบ.ใหม่’หนุน
ขณะนี้หลายประเด็นร้อนด้านพลังงาน กำลังเป็นวาระสำคัญที่รอรัฐบาลใหม่เข้ามาโชว์ฝีมือ หนึ่งในวาระหลักที่สังคมอยากเห็นอย่างจริงจังคือ นโยบายส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อใช้ทรัพยากรภายในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานที่ราคาผันผวน บางคราแพงโหดยามเกิดวิกฤตของโลก อาทิ การสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน
นอกจากนี้ การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ยังเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานด้วยการสนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงสะอาดประเภทต่างๆ
เรื่องนี้ กระทรวงพลังงาน มีนโยบายเดินหน้าเต็มที่ เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561 80 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) ช่วงปี 2564-2573 (ปรับปรุงเพิ่มเติม ครั้งที่ 2) หรือพีดีพี 2023
ที่ผ่านมา มีปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ 5,203 เมกะวัตต์ ตามแผนดังกล่าว จะมีปริมาณรับซื้อเพิ่มเติมอีก 3,668.5 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย พลังงานแสงอาทิตย์ 2,632 เมกะวัตต์ พลังงานลม 1,000 เมกะวัตต์ ก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย) 6.5 เมกะวัตต์ และขยะอุตสาหกรรม 30 เมกะวัตต์
การเพิ่มเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เป็นการช่วยเพิ่มปริมาณไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในระบบไฟฟ้าของประเทศมุ่งสู่สัดส่วน 50% ตามแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ด้านไฟฟ้า เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยให้เป็นไปตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ.2050 (พ.ศ.2593) และการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Emission) ภายในปี ค.ศ.2065 (พ.ศ.2608)
ทั้งแผนพลังงานชาติ และพีดีพี 2023 ล้วนรอรัฐบาลใหม่ทั้งสิ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ “วัฒนพงษ์ คุโรวาท” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ และคณะสื่อมวลชน ไปเยี่ยมชมโครงการสาธิตโรงไฟฟ้าพลังงานขยะเคลื่อนที่ โรงไฟฟ้าน้ำพอง จ.ขอนแก่น ต้นแบบโรงไฟฟ้าขยะ สนับสนุนพลังงานสะอาดของประเทศ คิดค้นโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ไม่เพียงเท่านี้ ผลงานของ กฟผ. ยังถือเป็นนวัตกรรมที่จะมาช่วยชุมชนในการลดขยะ และนำมาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยโมเดลโรงไฟฟ้าพลังงานขยะเคลื่อนที่สามารถกำจัดขยะสูงสุดได้ถึง 24 ตันต่อวัน และสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าระบบได้ 200 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง
ผู้อำนวยการ สนพ.ให้ข้อมูลว่า โครงการนี้ยังมีข้อจำกัด คือขยะที่จะเข้าสู่ระบบได้ต้องเป็นขยะแห้งเท่านั้น ขยะอินทรีย์ ขยะเปียกจะไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้ ดังนั้น การแยกขยะต้นทางขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีประสิทธิภาพจะเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของโครงการนี้ และช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ช่วยกันเปลี่ยนจากเมืองขยะล้น เป็นเมืองพลังงานสะอาด อีกทั้ง ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมพลังงานรูปแบบใหม่ๆ ได้ในอนาคต
ด้าน “อลงกรณ์ พุ่มรักธรรม” ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าน้ำพอง กฟผ. เสริมว่า ปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมน้ำพอง เป็นโรงไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีกำลังผลิตให้แก่ภูมิภาคนี้ถึง 650 เมกะวัตต์ และสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าปีละ 4,660 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง คิดเป็น 20% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นโรงไฟฟ้าแห่งเดียวในภูมิภาคนี้ ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า
ปัจจุบัน กฟผ.พัฒนาโครงการต่างๆ ตามนโยบายของรัฐบาลเสมอมา มีทั้งโรงไฟฟ้าหลักและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าควบคู่กันไป เพื่อให้ช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียนในอนาคตเป็นไปอย่างราบรื่น และรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศ รองรับการพัฒนาทุกภาคส่วน พร้อมดูแลสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืน
ล่าสุด กฟผ.พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานขยะเคลื่อนที่ (เคลื่อนที่โดยรถเทรลเลอร์) ทดสอบครั้งแรก รอบพื้นที่โรงไฟฟ้าน้ำพอง เนื่องจากปัจจุบันขยะมูลฝอยในชุมชนมีจำนวนมากขึ้น ขณะที่ภาพรวมขยะของประเทศมีมากถึงปีละ 14 ล้านตัน เกิดปัญหาขยะล้นเมือง ไม่มีการคัดแยกขยะ ขยะมูลฝอยชุมชนมาก การจัดการมลพิษไม่ดี มีค่าใช้จ่ายการลงทุนกำจัดสูง เกิดปัญหาการเมืองท้องถิ่น และการยอมรับจากชุมชน
ด้วยเหตุนี้ ทีมวิจัยของ กฟผ. และโรงไฟฟ้าน้ำพองจึงร่วมกันศึกษาวิจัยและพัฒนาขึ้นโรงไฟฟ้าขยะเคลื่อนที่ รอบพื้นที่บริเวณโรงไฟฟ้าน้ำพอง และเริ่มทดสอบครั้งแรก เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เน้นการเข้าถึงชุมชน ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมพลังงานรูปแบบใหม่ๆ พร้อมปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
จุดเด่นของโรงไฟฟ้าขยะเคลื่อนที่ เมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าขยะติดตั้งถาวร คือ สามารถเคลื่อนได้ ย้ายไปยังจุดที่มีความต้องการ ไม่มีผู้ผลิตขาย ต้องนำมาประกอบเข้าด้วยกัน เขียนระบบควบคุมใหม่ ให้ควบคุมทุกส่วนได้ เพิ่มระบบติดตามตำแหน่ง มีออนไลน์มอนิเตอริ่งรูปแบบใหม่ และการออกแบบใหม่ ปลอดภัยมากขึ้น
ผลศึกษาต้นทุนโครงการอยู่ที่ 40 ล้านบาท รายได้ต่อปี 10 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายดำเนินการปีละ 6 ล้านบาท ระยะเวลาคืนทุน 7.28 ปี อัตราผลตอบแทน (ไออาร์อาร์) 10.22% อายุโครงการ 20 ปี กำไร 82 ล้านบาท
สำหรับ โรงไฟฟ้าพลังงานขยะเคลื่อนที่ จะแบ่งเป็น 3 ส่วนจากรถเทรลเลอร์ 3 คัน คันแรกจะทำหน้าที่แปรสภาพขยะอาร์ดีเอฟ หรือเชื้อเพลิงขยะที่เผาไหม้ได้ เข้าไปรับซื้อขยะจากชุมชนผ่าน อปท. ช่วยท้องถิ่นมีรายได้ แต่ปัจจุบันด้วยระบบรับได้แค่ขยะอาร์ดีเอฟ ไม่สามารถทำขยะเปียกได้ จึงต้องอาศัยการแยกขยะจากชุมชนเป็นหลัก โดยทีมศึกษาของ กฟผ.ได้เข้าไปจัดกิจกรรมภายในโรงเรียนเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกให้นักเรียนร่วมกันแยกขยะ
ส่วนคันที่ 2 จะติดตั้งเตาเผาขยะและหม้อน้ำ เพื่อเดินหน้ากระบวนการเผา และคันที่ 3 จะติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากโออาร์ซี หรือเทคโนโลยีที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้แหล่งความร้อนอุณหภูมิต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“กฟผ.วาดหวังให้โครงการนี้สำเร็จ โดยรัฐบาลชุดใหม่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่ออนาคตจะเปิดให้ อปท. จัดซื้อ หรือเช่ารถผลิตไฟฟ้าจากขยะเคลื่อนที่ จาก กฟผ. เพื่อขายไฟฟ้าให้กับ 2 การไฟฟ้า คือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เสริมความมั่นคงให้ประเทศ เพิ่มรายได้ ช่วยขยะ ลดมลพิษ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย” ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าน้ำพอง กฟผ. คาดหวัง
โรงไฟฟ้าขยะเคลื่อนที่ เป็นอีกโครงการเจ๋ง ที่จะช่วยท้องถิ่นเรื่องขยะล้นเมือง อีกทั้งเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ