คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส : เดียวดายในทำเนียบ
เช้ามืด ยังไม่รุ่งสางของวันที่ 4 พฤศจิกายน 2020 โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ประธานาธิบดีลำดับที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา กล่าวประโยคประโยคหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นความเท็จที่ส่งผลสะเทือนเป็นวงกว้างที่สุด ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตออกมา
ทรัมป์กล่าวว่า “ว่ากันอย่างตรงไปตรงมา เราชนะการเลือกตั้งครั้งนี้จริงๆ”
ความทั้งหมดนั้นเป็นเท็จ เพราะในเวลานั้นยังคงมีคะแนนเหลือให้นับอีกหลายสิบล้านคะแนน พร้อมกันนั้น สัดส่วนคะแนนของทรัมป์ที่นำหน้าอยู่ในรัฐสำคัญหลายๆ รัฐ อาทิ มิชิแกน และเพนซิลเวเนีย ก็หดแคบลงเรื่อยตามเวลาที่ผ่านไป
ที่น่าสนใจก็คือ อีกสองเดือนต่อมา ทรัมป์ไม่เพียงยึดถือความเท็จนี้เป็นความจริงเท่านั้น ยังยัดเยียดความเท็จทั้งหมดเหล่านี้ให้กับอเมริกันอีกเป็นเรือนล้าน ที่ยึดถือตนเองเป็นสรณะ
ก่อนหน้าวันเลือกตั้ง ทรัมป์ย้ำแล้วย้ำอีกหลายหนว่า การโหวตทางไปรษณีย์จะส่งผลให้การเลือกตั้งฉ้อฉลเต็มไปด้วยการโกง และไม่ลืมปิดท้ายทุกครั้งว่า ตนจะแพ้ก็ต่อเมื่อ เดโมแครตใช้กลโกงที่ว่านั้น “ปล้นชัยชนะ” ไปจากตนเท่านั้น
หลังการเลือกตั้ง ทรัมป์ใช้วาทกรรมทำนองเดียวกันนี้ตอกย้ำอย่างเลื่อนลอย ไร้หลักฐาน ไร้มูลเหตุ โน้มน้าว ปลุกเร้าให้บรรดาพลพรรค “ทรัมพิสต์” ทั่วประเทศช่วย “ยับยั้งการปล้น” ให้กับตน
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม และความตึงเครียดเขม็งเกลียวในวันต่อๆ มา คือผลพวงโดยตรงจากการมดเท็จครั้งนั้น บวกกับการตกแต่งเสริมต่อด้วยสารพัดความเท็จในเวลาต่อมาของทรัมป์
ทุบทำลายทุกอย่างที่ไม่เข้าข้าง ไม่เห็นด้วยกับตนเองไปตลอดรายทาง
ทำลายแม้แต่ความน่าเชื่อถือของระบบการเลือกตั้ง เรื่อยไปจนถึงพนักงานอัยการและผู้พิพากษาในศาลอันทรงเกียรติ ที่พิเคราะห์ทุกอย่างแล้วเห็นว่า จะยึดถือเพียงข้อกล่าวหาด้วยลมปากมาเป็นสารัตถะไม่ได้
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีระบบกฎหมาย ระบบศาลและช่องทางที่ถูกต้องชอบธรรมในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทำนองนี้ในสังคมที่ดีมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
แต่เมื่อความเท็จเข้าครอบงำ แม้แต่ระบบที่น่าเชื่อถือที่สุดยังถูกทุบทำลาย
ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง คือความเท็จ
เมื่อความนั้นเป็นเท็จ ทุกอย่างที่ตามมาย่อมเป็นเท็จ
รวมทั้งข้อกล่าวหาที่ว่าด้วย กระบวนการสมคบคิดกันของบรรดาเสรีนิยมชั้นสูงในสังคมเพื่อปล้นชัยชนะ ป้องกันไม่ให้ทรัมป์ได้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สองก็เป็นเท็จ
แต่ทรัมป์แสดงให้ทั้งโลกเห็นว่า ความเท็จบางครั้งก็ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ!
ความเท็จในสภาวะเหมาะเจาะ ด้วยเงื่อนไขที่เหมาะสม สามารถเปล่งอานุภาพได้อย่างเหลือเชื่อ
พรรคนาซี ภายใต้การนำของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ สร้างโศกนาฏกรรมสลดใจอย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว และสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น ก็เริ่มต้นด้วยพรรณนาความอันเป็นเท็จทั้งดุ้นว่า เยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เพราะถูกประดายิวและสังคมนิยมลอบแทงข้างหลัง
การมดเท็จของทรัมป์ไม่ได้ใหญ่โตอลังการขนาดนั้น แต่ก็ใหญ่โตเพียงพอต่อการเขย่าประชาธิปไตยในสหรัฐอเมริกาจนสั่นคลอน เจียนอยู่เจียนไปอยู่รอมร่อ
ความเท็จ บางครั้งถูกห่อเคลือบด้วยความจริงที่บิดเบือน ในสภาวะทางสังคมที่แตกแยก ตัวใครตัวมัน เคว้งคว้างมองหาอนาคตได้แค่รางเลือน สามารถม้วนกวาดเอาบรรดาคนที่ต้องการเชื่อเข้าสู่วังวนของความเท็จต่อเนื่องในโลกซึ่งสอดคล้องกับสมมุติฐานของตนเองอีกใบที่แปลกแยกออกไปจากโลกแห่งความเป็นจริง
อเมริกันส่วนหนึ่งเชื่อว่า เครื่องนับคะแนนของบริษัท โดเมียน โวตติง ซิสเต็ม มีปัญหาในระบบซอฟต์แวร์ ที่ทำให้นับคะแนนของทรัมป์ไปใส่ให้กับไบเดน เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเขาอยากเชื่อ ต้องการเชื่อ เพราะสอดรับกับความเชื่อที่ว่ามีการสมคบคิดกันโกงชัยชนะของทรัมป์
อเมริกันอีกส่วนหนึ่งเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดที่เชื่อได้ยากเย็นอย่างยิ่งว่า บริษัทชื่อ สมาร์ทเมติก เคยประสบผลสำเร็จในการโกงการเลือกตั้งในเวเนซุเอลาแล้วนำเอาวิธีเดียวกันมาโกงการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา
ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงโต้งๆ ก็คือเครื่องของสมาร์ทเมติกมีใช้กันอยู่ในเคาน์ตี้เดียวเท่านั้นทั้งสหรัฐอเมริกา
มีคนเชื่อแม้กระทั่งว่า มีการแยกชิ้นส่วนเครื่องนับคะแนนเพื่อลักลอบนำออกนอกประเทศไปเพื่อผลการเลือกตั้งครั้งนี้
สมาชิกพรรครีพับลิกันจำนวนมากมีส่วนทำให้คำโกหกของทรัมป์ยืนหยัดอยู่ได้และมีช่องให้เสริมแต่งด้วยทฤษฎีสมคบคิดกันในเวลาต่อมานานนับเดือน ด้วยการปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ ปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง และสนับสนุนการคัดค้านผลการเลือกตั้งของประธานาธิบดีทรัมป์
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การไม่ออกมายอมรับความจริงดังกล่าวยิ่งทำให้ความเท็จของทรัมป์น่าเชื่อถือมากขึ้นและแพร่กระจายออกไปมากขึ้น
ไมเคิล เบรนเนอร์ ศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอเมริกัน ในวอชิงตัน ดี.ซี. สรุปเอาไว้ว่า
“หากคุณสร้างความจริงของตนเองขึ้นมาเพราะความจริงที่แท้เข้ากันไม่ได้กับวาระทางการเมืองของตัวเอง ความเท็จนั้นย่อมสำคัญและมีพลัง
“นั่นคือสิ่งที่เราเห็นกันอยู่แก่ตาในเวลานี้”
อาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ นักแสดงชาวอเมริกันเชื้อสายออสเตรีย อดีตผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียของพรรครีพับลิกัน พูดถึงทรัมป์ไว้ชนิดไม่ไว้หน้าว่า คือ ผู้นำที่ล้มเหลวที่สุด ที่นำพาประเทศสู่ความตกต่ำที่สุดด้วยการมดเท็จ
อาศัยความเท็จยุยงจนเกิดความเข้าใจผิดกลายเป็นเหตุรุนแรงที่แคปิตอล ฮิลล์
ชวาเซเนกเกอร์ประสบการณ์ของการเกิดและเติบโตในออสเตรียที่เคยถูกนาซียึดครอง แพร่ความเท็จจนทำให้พ่อและเพื่อนบ้านต้องทนทุกข์ยาวนาน ทำให้ชวาเซเนกเกอร์สามารถบอกได้ว่า การมดเท็จสามารถนำไปสู่อะไร
ข้อสรุปของเขาก็คือ ทรัมป์ คือผู้นำที่ห่วยที่สุดเท่าที่ประเทศนี้เคยมีมา
ตรงกันข้าม สาวกผู้ภักดีไม่เคยคิดว่าทรัมป์โกหก แต่เชื่ออย่างมั่นคงว่าทุกอย่างที่ทรัมป์พูดคือความจริง ที่โกหกก็คือบรรดาสื่อมวลชนทั้งหลาย โดยเฉพาะสื่อที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามต่างหาก ที่เป็นแหล่งที่มาของความเท็จใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา
นักจิตวิทยาเชื่อว่า ทรัมป์มีความผิดปกติเชิงบุคลิกภาพแบบ นาร์ซิซิสติค อยู่ในตัวอย่างชัดเจน เป็นคนหลงตัวเอง อย่าว่าแต่ความพ่ายแพ้เลย ทรัมป์รับไม่ได้แม้แต่การถูกมองว่าตนเองอยู่ในระนาบเดียวกัน เสมอเหมือนกันกับคนอื่นๆ
ด้วยบุคลิกภาพนี้ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่ทรัมป์ตัดขาดตัวเองจากโลกความเป็นจริงรอบด้านไปโดยสิ้นเชิง
ยิ่งถูกโลกภายนอกต่อต้าน ติเตียนมากเท่าใด ตัวตนของทรัมป์ยิ่งหลุดออกจากความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งใกล้วันหมดอำนาจมากขึ้นเท่าใด ทรัมป์ในทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายิ่งหงุดหงิด กราดเกรี้ยวมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
เหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 มกราคม เมื่อบวกกับพฤติกรรมดังกล่าว ทำให้ทรัมป์โดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้นในทำเนียบตามวันเวลาที่ผ่านไป หลายคนลาออกเพื่อประท้วงเหตุรุนแรงดังกล่าว อีกหลายคนลาออกเพราะทนไม่ได้กับพฤติกรรมแสดงความสะใจกับเหตุรุนแรงนั้น และรอนานไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมงกว่าจะออกมาห้ามปราม พยายามคลายความกราดเกรี้ยวของม็อบ
อีกหลายคนหลีกลี้หนีหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะทนไม่ไหวกับการที่ต้องมานั่งพูดคุยกับทรัมป์เพื่อหาทางล้มผลการเลือกตั้ง นำชัยชนะกลับมาให้ตนอีกครั้ง เพราะรู้ดีว่าเจอหน้ากับทรัมป์เมื่อใด เป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้ทุกคราวไป
การพูดจาซ้ำซากถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในโลกที่เป็นจริงทำร้ายจิตใจผู้คนได้สาหัสนัก
วันท้ายๆ ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ นอกจากปั่นป่วนวุ่นวาย, ไม่มีความสามารถ, ไม่มีการวางแผนและไม่เคยสนใจอื่นใดนอกเหนือจากตัวเองแล้ว
ยังเป็นวันที่เดียวดายอย่างยิ่งอีกด้วย
ผลโพลล่าสุดจาก พิว รีเสิร์ช เซนเตอร์ เผยแพร่ออกมาเมื่อ 15 มกราคมที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า ความเป็นจริงเริ่มปรากฏแก่ตาของอเมริกันจำนวนมากขึ้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
45 เปอร์เซ็นต์ของอเมริกันทั้งประเทศอยากเห็นทรัมป์ถูกถอดถอนพ้นตำแหน่งในทันที อีก 68 เปอร์เซ็นต์ ยืนยันว่า ไม่ต้องการเห็นทรัมป์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองจนกลายเป็นบุคคลสำคัญของประเทศอีกครั้งในอนาคตนับจากนี้ ระดับของการให้การยอมรับในการทำหน้าที่ประธานาธิบดีของทรัมป์ทรุดฮวบลงสู่ระดับ 29 เปอร์เซ็นต์
อันเป็นระดับต่ำที่สุดเท่าที่เคยต่ำมาตลอดต่อเนื่องในการดำรงตำแหน่งของทรัมป์
เมื่อสำรวจความคิดเห็นของคนอเมริกันทั้งประเทศพบว่า 65 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่า โจ ไบเดน คือผู้ชนะการเลือกตั้ง และอีกราว 75 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่า ทรัมป์คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม ไม่มากก็น้อย
ปัญหาก็คือ เมื่อมองลงลึกไปเฉพาะในส่วนที่เป็นรีพับลิกัน ยังคงมีอีกมากถึง 64 เปอร์เซ็นต์ ที่เห็นว่าทรัมป์ “ชนะ” หรือ “อาจชนะ” การเลือกตั้งที่ผ่านมา
ทั้งๆ ที่หลักฐาน, คำพิพากษาของศาลและอื่นๆ ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ไม่ปรากฏว่ามีการโกงการเลือกตั้งกันอย่างกว้างขวางจนมีผลกระทบต่อผลการเลือกตั้งแต่อย่างใดทั้งสิ้น
การเอาผิดกับทรัมป์ผ่านกระบวนการอิมพีชเมนต์ ในฐานะผู้ยุยงให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นที่อาคารรัฐสภา เป็นเรื่องจำเป็นก็จริง
แต่อาจไม่เพียงพอต่อการทำลายโลกของมายาภาพผิดๆ ที่ทรัมป์สร้างทิ้งเอาไว้ให้กับสาวกสุดโต่งทั้งหลายของตน
สหรัฐอเมริกาต้องทำอะไรมากมายกว่านั้นอีกมากนักในอนาคต