ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา ต้องขอบคุณบทบาทและการเคลื่อนไหวของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และกลุ่มสามมิตร
ก่อนหน้านี้พรรคเหล่านี้เคยลงความเห็นว่า การจัด “ครม.สัญจร” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือการหาเสียง
และได้รับการปฏิเสธจากทั้ง คสช.และรัฐบาล
ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือแม้กระทั่งนายวิษณุ เครืองาม ล้วนพูดเสียงเดียวกันว่า
เป็นการลงไปพบและรับฟังปัญหาของประชาชน มิได้เป็นการหาเสียง
บทบาทนี้ต่างจาก “กลุ่มสามมิตร” หรือไม่
ไม่ว่าการเดินทาง ไปยังจังหวัดชัยภูมิ ไม่ว่าการเดินทางไปยังจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น มหาสารคาม
คำอ้างจากนายสมศักดิ์ เทพสุทินก็คือ
เป็นการลงไปพบและรับฟังปัญหาของประชาชนและกลุ่มเกษตรกร เพื่อนำปัญหาไปสะท้อนและเสนอต่อรัฐบาลเพื่อแก้ไขให้ลุล่วง
แม้ว่าการลงไปในพื้นที่จะเป็นการพบกับอดีต ส.ส.และบรรดาผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชน
บางแห่งมีประชาชนมา 1,000 คน บางแห่งมีประชาชนมา 500 คน
จากภาคอีสานก็จะไปภาคกลาง ภาคเหนือ
การสัญจรของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และคณะในกลุ่มสามมิตร จึงดำเนินไปในพิมพ์เดียวกันกับ “ครม.สัญจร” ราวกับเป็นพิมพ์เดียวกัน
“สามมิตรสัญจร” เคียงขนานกับ “ครม.สัญจร”
ที่ “ครม.สัญจร” มิได้เป็นการหาเสียงเพราะว่าเป็นรัฐบาลและมีเป้าหมายเพื่อรับฟังปัญหาของประชาชน
ที่ “สามมิตรสัญจร” สามารถทำได้
เหตุผลสำคัญเพราะว่าเป็น “กลุ่มสามมิตร” มิได้เป็นพรรคการเมือง จึงไม่ติดอยู่ในประกาศ คสช.ฉบับที่ 57/2557 ที่ห้ามพรรคการเมืองเคลื่อนไหว
ทั้งไม่ติดกับคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 3/2558 ห้ามการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนอีกด้วย