‘เกศปรียา’ ลั่นควรมีคุณธรรมให้ได้ก่อนเป็นผู้นำทางสังคม รบ.จะครบวาระ แก้ปัญหาเรื่องเพศไม่คืบ

‘เกศปรียา’ ลั่นควรมีคุณธรรมให้ได้ก่อนมาเป็นผู้นำทางสังคม ซัดรัฐบาลอยู่จนจะหมดวาระ การแก้ปัญหาเรื่องเพศยังไม่คืบ

เมื่อวันที่ 15 เมษายน น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า จากกรณีกระแสข่าวดังเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศในสังคมตอนนี้ เรื่องการกระทำรุนแรงต่อเพศสตรีจากบุคคลที่มีโอกาสทางสังคมสูงกว่าคนอื่น กลับนำโอกาสของตนมาทำร้าย มาเอาเปรียบผู้อื่นนั้น เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ คนเราควรมีคุณธรรมจริยธรรมขั้นพื้นฐานให้ได้เสียก่อนที่คิดจะมาเป็นผู้นำทางสังคม

น.ส.เกศปรียาระบุว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง มองว่าประเด็นนี้รัฐบาลควรเร่งแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง อย่างที่ตนได้เคยให้ข้อมูลไปเมื่อช่วงที่มีโอกาสได้เข้ามาลงสนามการเมืองว่ามีผลสำรวจระบุว่าประชาชนต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความรุนแรงทางเพศ การข่มขืน รองลงมาจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันผ่านมาจะครบวาระการทำงานของรัฐบาลชุดนี้แล้ว ยังไม่เห็นความคืบหน้าหรือความใส่ใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

“ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังมีสถิติความรุนแรงต่อผู้หญิงสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยผู้หญิงต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและความรุนแรงทางเพศอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลระบุว่าผู้หญิงไทยถูกละเมิดทางเพศ-กระทำความรุนแรง มากกว่า 7 คนต่อวัน และเข้ารับการบำบัดรักษา-แจ้งความร้องทุกข์ 30,000 คนต่อปี ซึ่งสูงติดอันดับโลก

“ขณะที่รายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) พบว่า กว่าร้อยละ 87 ของคดีการถูกล่วงละเมิดทางเพศไม่เคยถูกรายงาน และจากการสำรวจสถานการณ์ความรุนแรงต่อผู้หญิง และบุคคลในครอบครัวของไทยระดับประเทศ พบความชุกของความรุนแรงต่อผู้หญิงและบุคคลในครอบครัว เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34.6 ในปี 2560 เป็นร้อยละ 42.2 ในปี 2563 โดยประเภทความรุนแรงสูงสุดคือ ความรุนแรงทางด้านจิตใจ คิดเป็นร้อยละ 32.3 รองลงมาคือ ความรุนแรงทางร่างกายร้อยละ 9.9 และความรุนแรงทางเพศร้อยละ 4.5” น.ส.เกศปรียากล่าว

Advertisement

น.ส.เกศปรียากล่าวต่อว่า กรณีแบบนี้ตนเคยเห็นมาเยอะมากในสังคม และตั้งแต่เข้าสู่การเมืองก็มีผู้หญิงหลายคนเข้ามาปรึกษาปัญหาเหล่านี้ ซึ่งผลกระทบไม่ใช่แค่ด้านร่างกาย แต่ยังกระทบกับสภาพจิตใจของตัวและครอบครัวของผู้โดนกระทำด้วย ผู้หญิงส่วนใหญ่เลือกจะเก็บเงียบเนื่องจากอายที่จะออกมาพูดเรื่องนี้ รวมทั้งมีความกังวลว่าอาจจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานตนเองในอนาคต อีกทั้งปัญหาความรุนแรงที่ผู้หญิงต้องเผชิญส่วนมากไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยา เนื่องจากขาดที่พึ่งที่ปลอดภัย เข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม ไม่มีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม จึงยากที่จะแก้ปัญหาได้

น.ส.เกศปรียากล่าวว่า นอกจากนี้ ค่านิยมเพศชายเป็นใหญ่ที่โทษว่าปัญหานี้มาจากความผิดของเหยื่อก็ยังเป็นปัจจัยหลักซึ่งแท้จริงแล้วเป็นความคิดที่ผิด ทุกคนต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกันไม่ว่าจะมีพื้นฐานชีวิตมาแบบไหน หรือเป็นเพศอะไร ดังนั้น การเปลี่ยนรากฐานทัศนคติ ช่วยเหลือผู้เสียหายโดยไม่เลือกปฏิบัติ รณรงค์เปลี่ยนค่านิยมชายเป็นใหญ่ที่ชอบกดขี่หญิง เป็นสิ่งที่จะต้องทำทันที

“ในทางปฏิบัติเดียร์ต้องการเป็นแบบอย่างให้ผู้หญิงทุกคนกล้าออกมาเผชิญ ถ้าเราไม่กล้าออกมาเผชิญการเปลี่ยนแปลงก็จะไม่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องปัญหาของความรุนแรงไม่ว่าจะเป็นในลักษณะใดก็ตาม เดียร์อยากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือทุกๆ คน

Advertisement

“หากผู้หญิงท่านใดมีปัญหาไม่ว่าจะเรื่องอะไร เดียร์อยากให้เราทุกคนมารวมพลังกัน แบ่งปันความคิดเห็นกัน เพื่อโอกาสที่ดีของการเจริญเติบโตของผู้หญิงไทย การรณรงค์สร้างค่านิยมทางเพศขึ้นมาใหม่ในสังคม ให้มีบรรทัดฐานเดียวกันทุกเพศ เป็นสิ่งที่เดียร์ตั้งเป้าหมายไว้ว่าถ้ามีโอกาสเดียร์จะต้องทำทันที” น.ส.เกศปรียากล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image