‘บิ๊กแดง’ แนะดูหนัง The Great Hack ชำแหละนักการเมืองใช้โซเชียลสร้างคะแนนนิยม

“บิ๊กแดง” แนะดูหนัง The Great Hack ถอดบทเรียนใช้ “โซเชียลมีเดีย” สร้างคะแนนนิยมให้นักการเมืองในสหรัฐ ใกล้เคียงกับการเมืองไทย สร้างกระแส ผลิตข้อมูลให้เยาวชนซึมซับ เผยบทความกึ่งวิทยานิพนธ์มี 3 ตอน เสร็จปลาย ส.ค.นี้

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ผู้สื่อข่าวประจำกองบัญชากการกองทัพบก (บก.ทบ.) รายงานว่า จากกรณีที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) จากกรณีที่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าตนกำลังเขียนบทความกึ่งวิทยานิพนธ์ เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองที่ผ่านมา โดยเฉพาะพฤติกรรมทางการเมืองของคนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากการได้รับอิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดียนั้น ความคืบหน้าล่าสุดแหล่งข่าวกองทัพบก เปิดเผยว่า ทาง พล.อ.อภิรัชต์ ใกล้ที่จะเขียนบทความกึ่งวิทยานิพนธ์เสร็จสิ้นแล้ว โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ตอน ประเด็นหลัก คืออิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่มีผลต่อสังคม, เศรษฐกิจ วัฒนธรรม, การเมือง, ซึ่งก็คาดว่าน่าจะจัดทำเนื้อหาเสร็จสิ้น ประมาณปลายเดือนสิงหาคม 62 นี้ และจะได้นำมาเปิดเผยตามที่ได้ระบุไว้

แหล่งข่าวกองทัพบก กล่าวว่า ขณะนี้ พล.อ.อภิรัชต์ ให้ความสนใจติดตามดูภาพยนต์สารคดี เรื่อง The Great Hack ทาง Netflix ว่าด้วยการขโมยข้อมูลส่วนบุคคลจากโซเชียลมีเดียของบริษัท Cambridge Analytica (CA) และหาประโยชน์จากข้อมูลนั้นให้ฝ่ายการเมืองช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ปี 2016 โดย The Great Hack นำเสนอการสืบสวนเจาะลึกบริษัท Cambridge Analytica โดยตรง เปิดโปงวิธีการใช้ข้อมูลและวิธีการใช้โซเชียลเป็นช่องทางในการควบคุมความคิดทางการเมืองของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่ง พล.อ.อภิรัชต์ ก็แนะนำให้คนใกล้ชิดได้ติดตามดูภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวโดยมองว่ามีความใกล้เคียงกับการเมืองของไทยเช่นกัน

แหล่งข่าวกองทัพบก กล่าวอีกว่า พล.อ.อภิรัชต์ยังให้ความสนใจความคิดทางสังคม และการเมืองของเยาวชน โดยเฉพาะความนิยมต่อกระแสของนักการเมืองและพรรคการเมือง ที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อ โดยเยาวชนเป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่จะรับและซึมซับข้อมูลเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัวและพรรคการเมืองจะใช้ประโยชน์จาก Big Data ซึ่งเป็นข้อมูลที่ถูกบันทึกจากพฤติกรรมการของคนที่ใช้เฟซบุ๊ก กูเกิล ในการค้นหาสิ่งที่สนใจ โดยนำข้อมูลเหล่านั้นไปวิเคราะห์หาวิธีการเข้าถึง ทั้งนี้ เป้าหมายของฝ่ายการเมืองต้องการสร้างกระแสนิยม เพื่อสนับสนุนให้ตนเองเข้าไปมีอำนาจ หรือต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง จึงได้ใช้โซเชียลมีเดียในการรุกอย่างหนัก และหวังผลเปลี่ยนแปลงในระดับของความคิด และพฤติกรรม ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวถือเป็นบทเรียนที่ควรศึกษา และติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการสร้างความขัดแย้งได้ง่าย โดยทุกฝ่ายต้องรู้เท่าทัน และรับมือกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อลดความรุนแรงและการเผชิญหน้าในประเทศของเรา

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image