อย่าประมาทว่า “มุข 6 ตุลา 19” เก่าเกินไป
ทั้งฝ่ายเยาวชนนักเรียนนิสิตนักศึกษาและฝ่ายรัฐบาลกับกองเชียร์ ควรศึกษา “บทเรียน 6 ตุลา 19”
การเกิดขึ้นของ 6 ตุลา 2519 มีที่มา มีแบบแผน
ก่อนจะล้อมปราบล้อมฆ่าอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในแผ่นดินไทยที่ชอบต่อท้ายด้วยคำว่า “แผ่นดินธรรม” นั้น มีการจงใจป้อนชุดข้อมูลที่ผิดเพี้ยนเพื่อสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในใจมวลชนที่รัฐจัดตั้ง
เจ้าหน้าที่รัฐมีบทบาทสำคัญในการชวนเชื่อปลุกระดมจนผู้คนหลงผิด คุแค้นกระทั่ง “คลั่ง” กระโจนเข้าร่วมเข่นฆ่าผู้ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
รุมประชาทัณฑ์ ฆ่ากันสดๆ เห็นๆ ตัวเป็นๆ ยังไม่ทันตายก็จับแขวนคอกับต้นไม้ หรือแห่ลากร่างบ้างก็พรุนด้วยกระสุน บ้างก็ยังมีลมหายใจไปกองสุมรวมกันแล้วจุดไฟเผาสดๆ กลางถนนข้างพระแม่พระธรณีบีบมวยผมนั่น
หลายศพคือเด็กๆ ที่เป็นนิสิตนักศึกษาชั้นปี 2 ปี 3
ไม่มีการจับกุมผู้บงการและมือฆ่า แต่อย่าลืม “บทเรียน” นี้ต้องเปิดเผยและศึกษาเพื่อความมี “สติ” ไม่ซ้ำรอยประวัติศาสตร์สังหารหมู่
วันนี้ก็เริ่มจะมี ส.ว.ออกมาเปรยๆ ว่า “ระวังประเทศจะลงเอยด้วยความรุนแรงและสงครามกลางเมือง”
ฝ่ายหนึ่งก็เป็นเด็ก มีแต่ “ปาก” ไม่มี “ปืน” กับอีกฝ่ายหนึ่ง “ผู้เป็นใหญ่” มีทุกกลไกในระบบของประเทศนี้อยู่ในอาณัติอำนาจ
ควรจะตั้งคำถามต่อคำพูด ส.ว.ที่ดูเหมือนปรารถนาดีนั้นว่า ถ้าทหารกับตำรวจยืนหยัดใน “อหิงสา” ไม่จุดไฟ ไม่ฆ่าคนไทยด้วยกัน สงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
กล่าวสำหรับผู้นับถือพุทธศาสนา แค่รักษาศีล 5 “เหตุแห่งการฆ่า” ก็มีขึ้นไม่ได้ !
เริ่มจากศีลข้อแรกของชาวพุทธ ก็ไม่ฆ่าชีวิต สอง ไม่ลักทรัพย์ สาม ไม่ผิดลูกเมียผู้อื่น สี่ ไม่โกหก ใส่ร้ายป้ายสีหรือพูดเท็จ และห้า ไม่ดื่มสุราของมึนเมา
ประเทศเราน่าอยู่อาศัยถ้า “คนมีปืน” รักษาศีล และ “ผู้นำ” มีปัญญาสามารถเข้าใจและเข้าถึงหลักธรรม “กาลามสูตร” ซึ่งส่งเสริมให้มี “มนุษย์คิดต่าง”
แต่บทเรียนจาก “6 ตุลา 19” นั้น แหกทั้งศีลและทำลายหลักธรรม
“ฆ่าคนคิดต่าง” กันชนิดที่ชวนขนหัวลุก !?!!