ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ |
---|
วันที่ 1 กันยายน บรรดาผู้ประกอบการในพื้นที่ 29 จังหวัดสีแดงเข้มได้รับโอกาสทำธุรกิจอีกหน
หลายคนเดินหน้าเปิดร้านตามคำอนุญาตของ ศบค.
แต่อีกหลายคนขอดูก่อน เพราะหากลงทุนใหม่แล้วต้องสะดุดหยุดกิจการอีกก็เหนื่อย
แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดมีแนวโน้มดีขึ้น ยอดผู้ป่วยใหม่น้อยลง
แต่จำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันก็ยังทะลุหมื่น
ดังนั้น การเปิดกิจการทำธุรกรรมในครั้งนี้จึงอยู่ท่ามกลางการระบาด
หากไม่ต้องการให้การระบาดเพิ่มจำนวน หรือบานปลายกลายเป็นการระบาดครั้งใหม่
จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันเข้ม
วันก่อน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข อธิบายความ
บอกว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ออกข้อกำหนด
ขอให้ร้านอาหารในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดยึดแนวปฏิบัตินี้
สรุปได้ว่า ศบค.ยังให้เปิดบริการได้ไม่เกินเวลา 20.00 น.
ห้ามดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในร้าน
จำกัดจำนวนผู้นั่งกินในร้าน ถ้าร้านอาหารเป็นห้องแอร์ อนุญาตให้นั่งได้ร้อยละ 50 ของจำนวนที่นั่งปกติ
ถ้าร้านอาหารเป็นพื้นที่เปิด มีอากาศถ่ายเทดี นั่งกินในร้านได้ร้อยละ 75 ของจำนวนที่นั่งปกติ
ฟังแล้ว ร้านอาหารขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย รถเข็น น่าจะเข้าข่ายนี้
รวมทั้งร้านอาหารในห้าง ร้านอาหารในศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ก็ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้
นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดสำหรับร้านอาหารทุกร้าน
มีทั้งสิ้น 7 ข้อที่ต้องปฏิบัติ
1.ทำความสะอาดโต๊ะทันทีหลังใช้บริการ
2.ทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วม และห้องน้ำ ทุก 1-2 ชั่วโมง
3.จัดอุปกรณ์กินอาหารเฉพาะบุคคล
กรณีต้องรับประทานหม้อ/ภาชนะเดียวกัน ต้องจัดอุปกรณ์ตักอาหารเฉพาะบุคคล และต้องไม่ใช้ช้อนกลางร่วมกัน
4.งดจัดบริการอาหารรูปแบบผู้บริโภคบริการตนเอง
ร้านบุฟเฟต์ สลัดบาร์ หมูกระทะเข้าข่ายข้อนี้
5.จัดบริการเจลแอลกอฮอล์ประจำทุกโต๊ะ
6.เว้นระยะห่างระหว่างบุคคลและโต๊ะรับประทานอาหาร 1-2 เมตร
หากมีพื้นที่จำกัด มีระยะไม่ถึง 1 เมตร ให้ทำฉากกั้น
กรณีพื้นที่มีเครื่องปรับอากาศ เว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะ 2 เมตร และไม่นั่งตรงข้ามกัน
จำกัดระยะเวลากินอาหารไม่เกิน 1 ชั่วโมง
7.เปิดประตู หน้าต่าง อย่างน้อย 30 นาที ก่อนเปิดและปิดระบบปรับอากาศ
สำหรับพื้นที่ปรับอากาศให้เปิดระบายอากาศในพื้นที่กินอาหารทุก 1 ชั่วโมง
รวมทั้งห้องน้ำควรมีระบบระบายอากาศที่ดี
คุณหมอสุวรรณชัยยืนยันว่า เดือนกันยายน ทุกร้านเปิดได้ตามปกติ ไม่ต้องตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท หรือ ATK เป็นประจำ
แต่ให้ยึดมาตรการ DMHTT อย่างเข้มข้น
จำกันได้ใช่ไหมว่า DMHTT นั้นย่อมาจาก
D คือ Distancing หรือการเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1-2 เมตร
M คือ Mask Wearing หรือการสวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย
H คือ Hand Washing หรือหมั่นล้างมือบ่อยๆ
T คือ Testing หรือตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายสม่ำเสมอ
และ T สุดท้ายคือ สแกนแอพพ์ “ไทยชนะ”
เช่นเดียวกับ พนักงานที่ยังไม่ต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มในช่วงเดือนกันยายนนี้
แต่ต้องเตรียมความพร้อมไว้
เพราะวันที่ 1 ตุลาคม มาตรการที่เดือนกันยายน “ยังไม่ต้อง”
ในเดือนตุลาคมเขาจะบังคับใช้
บังคับใช้มาตรการด้านผู้ให้บริการ
นั่นคือ ให้พนักงานทุกคนฉีดวัคซีนครบโดส หรือมีประวัติการติดเชื้อมาก่อนไม่เกิน 3 เดือน
คัดกรองความเสี่ยงพนักงานทุกวันด้วยเว็บไซต์ “ไทยเซฟไทย” หรือแอพพลิเคชั่นอื่นที่ราชการกำหนด
จัดหาเอทีเคให้พนักงาน และตรวจเอทีเคทุก 7 วัน
งดการรวมกลุ่มหรือกินอาหารร่วมกัน
ส่วนผู้รับบริการก็มีมาตรการต้องปฏิบัติเช่นกันในเดือนตุลาคม
นั่นคือ ต้องคัดกรองความเสี่ยงก่อนเข้าร้านด้วยเว็บไซต์ “ไทยเซฟไทย” หรือแอพพลิเคชั่นอื่นที่ทางการกำหนด
ต้องมี COVID free pass ก่อนเข้าบริการในร้านที่ติดแอร์
ส่วนต่างจังหวัด ให้ร้านอาหารปฏิบัติตามมาตรการของจังหวัดด้วย
สรุปว่าในเดือนกันยายนนี้ ร้านอาหารยังเปิดแบบไม่ต้องกังวล
แต่เดือนตุลาคม มาตรการต่างๆ จะบังคับใช้
ดังนั้น 1 เดือนก่อนจะถึงวันนั้น ทุกร้านค้าต้องตระเตรียม
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องเร่งประชาสัมพันธ์
ให้ร้านค้าและประชาชนรู้ว่าเดือนตุลาคมจะต้องใช้มาตรการ
หวังว่าเดือนตุลาคมนี้ จะมีผู้ฉีดวัคซีน 2 โดสแล้วเป็นจำนวนมาก
เพราะผู้ขายต้องการผู้ซื้อ
ถ้าผู้ซื้อไม่สามารถเข้าร้านได้เพราะไม่ปลอดภัย
ความหวังที่จะ “อยู่กับโควิด” ก็มีอุปสรรค
คนซื้อไม่มี คนขายก็อยู่ไม่ได้
เพื่อให้ร้านค้าอยู่ได้ ทั้งผู้บริการและผู้บริโภคต้องร่วมมือกัน
ร่วมมือให้ปลอดภัยปลอดโรค
หากทำกันได้ ตัวเลขผู้ป่วยลดลงเรื่อยๆ โอกาสจะปลดล็อกเพิ่มเติมย่อมมีอยู่
ช่วงเวลาหลังจากวันที่ 1 กันยายนคือบททดสอบ
ทดสอบภาครัฐ ทดสอบภาคเอกชน ทดสอบภาคประชาชน
หากสามารถควบคุมโรคระบาดให้อยู่ในวงจำกัดได้
สามารถดำรงชีวิตอยู่กับสถานการณ์โควิดได้
สามารถผ่านบททดสอบ
อีกสัปดาห์สองสัปดาห์คงได้ลุ้นปลดล็อกเพิ่ม
กิจการและธุรกิจอื่นที่ยังเปิดไม่ได้จะได้มีโอกาสทำมาหากิน