ภาพเก่าเล่าตำนาน : ขุนนาง ฟอลคอน ผู้ยิ่งใหญ่…ในวังอยุธยา (จบ) โดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

1เดียวจากดินแดนกรีกในทวีปยุโรป ไปเรียนรู้โลกกว้างในมหานครลอนดอน หน้าตาและอัธยาศัยดี ถูกเจ้าพระยาโกษา (เหล็ก) ชักชวนให้มาทำราชการในกรมพระคลังสินค้าของอยุธยาเมื่ออายุ 25 ปี มีสติปัญญาเฉียบแหลม มีความสามารถด้านการเดินเรือ การค้า การต่างประเทศ มีวิสัยทัศน์โดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร ใช้เวลาไม่นานหนุ่มกรีก ได้รับโปรดเกล้าฯ จากสมเด็จพระนารายณ์ฯ ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดฝ่ายพลเรือนในแผ่นดินสยามเป็น เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ที่คนไทยคุ้นเคยชื่อว่า ฟอลคอน

ความเดิมจากตอนที่แล้ว บทบาทอันโดดเด่นของฟอลคอน ในการรับพระราชภารกิจจากสมเด็จพระนารายณ์ฯด้านการทหารที่ถวายคำแนะนำพระองค์ฯ ให้สร้างป้อมปราการในบางกอกและเมืองท่าอื่นๆ โดยมีกำลังทหารประจำ จะเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงต่อการค้า และการป้องกันราชอาณาจักร เนื่องจากในเวลานั้นกองเรือของฮอลันดา (เนเธอร์แลนด์) มีทีท่าคุกคามสยามเรื่องการค้าขาย เมื่อข้าศึกจะใช้เรือปืนคุกคาม ก็ต้องสร้างป้อมปราการไว้ตามลำน้ำ

แนวคิดนี้ถือว่า เป็นการขัดแย้งกับแนวคิดของแม่ทัพเอกของแผ่นดิน คือ เจ้าพระยาโกษา (เหล็ก) อย่างรุนแรง ในที่สุดสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงพระพิโรธ สั่งเฆี่ยนเจ้าพระยาโกษา (เหล็ก) และสิ้นชีพในเวลาต่อมา

พระเพทราชา ขุนหลวงสรศักดิ์ และเหล่าขุนนาง ที่ชิงชัง รังเกียจชาวต่างชาติในราชสำนัก ก่อหวอด หาทางจะกำจัด ฟอลคอน หรือเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ในทุกโอกาส

Advertisement

ฟอลคอนรู้ตัวดีว่าชะตาชีวิตตัวเองดุจดังกำลังเดินอยู่บนปากเหว

ฟอลคอน คือชาวยุโรปที่เคยเห็นปราสาทราชวังในยุโรปมาแล้วนับไม่ถ้วน นี่เป็นอีกเหตุผลที่พระนารายณ์ฯรับสั่งให้ฟอลคอนเป็นแม่งานควบคุมช่างฝรั่งเศสก่อสร้างพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ที่ลพบุรีจนสำเร็จเรียบร้อย ฟอลคอนเพิ่มความทันสมัยแบบจุใจ จัดวางระบบน้ำประปาเป็นครั้งแรกในแผ่นดินสยาม โดยใช้ท่อทำด้วยดินเผา นำน้ำจากบ่อทะเลชุบศรเข้ามาใช้ในพระราชวัง สร้างน้ำพุ และนำน้ำไปใช้ยังสถานที่อื่นๆ ที่นับว่าเป็นผลงานที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก

ยิ่งเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์ฯ มากเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มศัตรูหมู่มารให้กับตัวเองมากขึ้นเป็นเงาตามตัว มากขึ้นและมากขึ้น

Advertisement

ขุนนางฟอลคอนกราบบังคมทูลถวายคำแนะนำกิจการงานเมืองต่อสมเด็จพระนารายณ์ฯ เป็นอันสำเร็จ และทรงเชื่อทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียวคือ การศาสนา ที่บาทหลวงฝรั่งเศสพยายามใช้ฟอลคอนเป็นสะพานเชื่อมเพียรพยายาม กราบบังคมทูลให้สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงเปลี่ยนไปนับถือคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ทรงยอมทุ่มทรัพยากรทุกอย่างให้กับราชสำนักอยุธยา การค้า การต่างประเทศ การศึกษา การทหาร การก่อสร้างปราสาทราชวัง ส่งคณะทูตมาเยือนหลายคณะ ด้วยประสงค์จะให้สมเด็จพระนารายณ์ฯเปลี่ยนเป็นคริสต์

ประวัติศาสตร์สยามบันทึกว่า 18 ตุลาคม พ.ศ.2288 เชอวาเลีย เดอโชมองต์ เอกอัครราชทูตวิสามัญของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งกรุงฝรั่งเศส ได้เข้าเฝ้าฯสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ณ พระราชวังในกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นก้าวย่างที่สำคัญยิ่งในกิจการต่างประเทศของสยาม ทั้งนี้ เป็นผลงานของขุนนางฟอลคอนทั้งสิ้น

ภาพประวัติศาสตร์ปริศนาที่เห็น คือ เหตุการณ์จริง ซึ่งขุนนางฟอลคอน คือคนที่หมอบข้างล่างและกำลังยกมือพร้อมทั้งกระซิบบอกทูตฝรั่งเศสให้ “ยกพานให้สูงขึ้นไปอีก”

เชอวาเลีย เดอโชมองต์ ทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 บันทึกว่า ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงปรึกษากับทูตว่า ทรงห่วงใยในตัวเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ หากพระองค์เป็นอะไรไป คงต้องฝากฝังให้วิชาเยนทร์ไปใช้ชีวิตในฝรั่งเศส ถึงขนาดรับสั่งฯฝากทูต เดอ โชมองต์ไปกราบทูลพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งแสดงว่าทรงทราบความเคลื่อนไหวความชิงชังของกลุ่มขุนนางที่มีต่อวิชาเยนทร์

การเมือง การต่างประเทศในอยุธยาในเวลานั้น ไม่ได้มีเฉพาะฝรั่งเศส แต่ยังมี โปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ แขกเปอร์เซีย จีน ญี่ปุ่น ซึ่งเข้ามาแย่งชิงกันเป็นคู่ค้ากับอยุธยากันอุตลุด แต่ละชนชาติเรียกร้องต้องการสิทธิพิเศษทางการค้า โดยเฉพาะฮอลันดา มีท่าทีแข็งกร้าวที่สุด ถึงขนาดเคยนำกองเรือมาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา

การที่ฟอลคอนเดินหมากให้อยุธยาแนบแน่นกับฝรั่งเศส ถือว่าเป็นการรักษาดุลอำนาจมิให้ฮอลันดา อังกฤษ รังแกสยามเพราะแนบแน่นกับฝรั่งเศส ซึ่งก็ได้ผล การค้า การต่างประเทศ การศาสนา โยงยึดคลุกเคล้าเข้าด้วยกันทั้งหมด จนในที่สุดฟอลคอนสนับสนุนให้ เดลานด์บูโร ของฝรั่งเศส เดินทางเข้ามาตั้งบริษัทการค้าได้สำเร็จ ซึ่งผลประโยชน์ เงิน ทอง ทั้งปวง ก็แผ่อานิสงส์มาถึงขุนนางฟอลคอนด้วย ผลประโยชน์ของหลวง ผลประโยชน์ส่วนตัว อำนาจวาสนา ปะปนระคนกันแยกไม่ออก บอกไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร

ขอเรียนท่านผู้อ่านที่เคารพว่า บรรดากัปตันเรือสินค้า ลูกเรือ ทหาร นักการทูต นักบวชทั้งหลายจากชาติตะวันตกที่ลงเรือออกจากยุโรป ตระเวนไปทั่วโลกไม่มีเงินเดือนนะครับ ทุกคนต่างหาโอกาสที่ดีกว่าสำหรับชีวิต มีผลประโยชน์ส่วนตัวแฝงทั้งสิ้นเพื่อการดำรงคงอยู่ ซึ่งต้องกิน ต้องใช้ เรียกว่า “หาจับเนื้อกินเอง”

ในบันทึกของทูต ลาลูแบร์ ก็เคยเขียนบันทึกไว้ว่า ขุนนางชาวสยามนั้นมีนิสัยโกงกินบ้านเมืองเป็นจำนวนมาก สาเหตุที่ทำให้ขุนนางข้าราชการในสมัยนั้นต้องคอร์รัปชั่น ก็เพราะในระบบราชการในสมัยอยุธยาไม่มีระบบการจ่ายเงินเดือนให้แก่ขุนนางข้าราชการ มีแต่เพียงจ่ายเงินปีเท่านั้น ดังนั้น ขุนนางข้าราชการในสมัยนั้นจึงต้องรีดไถเงินจากไพร่ ซึ่งระบบการจ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการนั้น เพิ่งเกิดขึ้นในสมัยในหลวง ร.5

สินค้าที่ฝรั่งทุกชาติเข้ามาแย่งชิงคือ เครื่องเทศ จะขอผูกขาดตัดตอน พริกไทย กานพลู และ อบเชย เพราะสามารถนำไปใช้ปรุงอาหารและถนอมอาหารมิให้เน่าเสียเร็ว สินค้าประเภทนี้ในยุโรปมีราคาสูงมาก

ฟอลคอน ในตำแหน่ง เจ้าพระยาวิชาเยนทร์มีเรือเดินทะเลส่วนตัว 5-6 ลำ กลายเป็นหุ้นส่วนบริษัทการค้าในหลายบริษัทของต่างชาติที่เข้ามาค้าขาย เพราะตำแหน่งหน้าที่ โอกาสเอื้ออำนวยแบบข้ามาคนเดียว ผูกขาด จับกุม มีอำนาจสูงสุด ขู่กรรโชก รับสินบาทคาดสินบน ชีวิตของฟอลคอนเปี่ยมล้นด้วยแก้ว แหวน เงินทอง ที่ไหลมาเทมาแบบไม่หยุด ประการสำคัญที่สุด คือ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ คือผู้บัญชาการกองทหารฝรั่งเศสทั้งหมดในสยาม

ในอยุธยา และลพบุรี ระส่ำระสายไปด้วยข่าวลือ การขัดกันแห่งผลประโยชน์ทางการค้า ความชิงชังชาวต่างชาติที่มีบทบาทสูงในราชสำนักโดยเฉพาะชาวฝรั่งเศส การขัดกันเรื่อง เชื้อชาติ ศาสนา การซ่องสุมกำลัง แม่ทัพนายกองแบ่งฝ่ายกันเริ่มปรากฏเค้าลาง

ช่วงปี พ.ศ.2229 เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ขุนนางต่างชาติ มีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ การค้า และการทูต และยังเป็นคนสนิทของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ขั้วอำนาจย้ายจากกลุ่มขุนนางมุสลิมจากเปอร์เซียไปอยู่กับฝรั่ง ฟอลคอนที่เป็นชาวคริสต์

กลุ่มขุนนางมุสลิมที่เคยเรืองอำนาจเริ่มโรยรา เหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกถูกลดชั้น คือ การเกณฑ์ชาวมุสลิมให้ไปเข้าแถวต้อนรับคณะราชทูตเชอวาเลีย เดอ โชมองต์ ราชทูตฝรั่งเศส ที่เดินทางเข้ามาอยุธยา

ครั้งนั้น ฟอลคอนเป็นแม่งาน จัดพิธีการต้อนรับทูตฝรั่งเศสอย่างอลังการ แต่เมื่อเทียบกับการต้อนคณะราชทูตสุลัยมาน จากเปอร์เซีย ซึ่งมีระดับเท่ากัน หากแต่การต้อนรับกลับเป็นไปอย่างเรียบง่าย เย็นชา

ประชาคมมุสลิมโดยแขกมักกะสันเป็นแกนนำจึงก่อหวอด ชักชวนพวกมุสลิมด้วยกันในอยุธยา คือ มุสลิมเขมร แขกมลายู แขกจาม ให้ก่อการกบฏเพื่อจะชิงอำนาจการปกครองบ้านเมือง

ประวัติศาสตร์ไทย เรียกการกบฏครั้งนี้ว่า กบฏแขกมักกะสัน (แขกมักกะสัน เพี้ยนมาจาก แขกมากัสซาร์ เป็นมุสลิมที่อพยพมาจากเกาะมากัสซาร์ ของอินโดนีเซีย เคยเขียนในตอนที่แล้ว)

ตามแผนการ ฝ่ายกบฏจะเข้ายึดพระราชวัง แล้วขึ้นไปตีลพบุรี เพื่อจะจับตัวสมเด็จพระนารายณ์ฯ

แผนกบฏชิงบัลลังก์ทะลักรั่วออกมาสู่ฟอลคอน ท่านจึงรีบกลับไปอยุธยา ฟอลคอนต้องรับบทแม่ทัพปราบกบฏมักกะสัน สั่งการปราบจับกุมแล้วประหารชีวิตแขกมักกะสันระดับหัวหน้าทันที

เหมือนสาดน้ำมันเข้ากองไฟ กลุ่มแขกมักกะสันเกิดอาการ “บ้าเลือด-คลุ้มคลั่ง” สมเด็จพระนารายณ์ฯเสด็จไปอยุธยา มีการเจรจาเพื่อยุติการกบฏแต่ไม่เป็นผล

10 กันยายน พ.ศ.2227 ฟอลคอนตัดสินใจนำกำลังทหารสยามร่วมกับฝรั่งเศส อังกฤษ เข้าล้อมปราบหมู่บ้านของแขกมักกะสันในอยุธยา

หนังสือเรื่อง Siamese White ของ Maurice Colllis บันทึกว่า ฟอลคอนเป็นแม่ทัพปราบกบฏแขกมักกะสัน มีทหารสยาม 7,000 นาย มีนายทหารต่างชาติ 60 นาย ลงเรือ 200 ลำล่องเจ้าพระยามาถึงหมู่บ้านในเวลากลางคืน พอฟ้าสางก็เอาปืนใหญ่ ธนูเพลิงระดมยิง …แขกมักกะสันพุ่งเข้าหาทหารด้วยกริชและหอก…ฟอลคอนนำหน้าทหารสยามเข้าต่อสู้ พวกแม่ทัพฝรั่งยกให้ว่าเขาเก่งกาจกล้าหาญจริง มิได้แอบบัญชาการเหมือนแม่ทัพสยามบางท่าน…ฟอลคอน เกือบเอาชีวิตไม่รอด รบกันจนราวบ่าย 3 โมง ฆ่าแขกตายเสียสิ้น … ทหารสยามตายไปราว 1,000 นาย ฝรั่งเศสตาย 4 อังกฤษตาย 3..เชลยศึกแขกที่ไม่ตาย ถูกตรึงกางเขนไว้บนดินแล้วปล่อยเสือให้มาฉีกเนื้อกิน

แขกมักกะสันเป็นคนผิวดำ รูปร่างสูงใหญ่ ดุร้าย ถือหอก เหน็บกริชเป็นอาวุธ ทั้งหมดเป็นมุสลิม ฟอลคอน คือแม่ทัพปราบกบฏแขกมักกะสันสำเร็จ เป็นผลงานเชิงประจักษ์ เป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก

เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ยังคงต้องเผชิญกับอุปสรรคขวากหนามที่ถูกทิ่มแทงจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทรงอิทธิพลในราชสำนัก ที่อยู่รอดได้วันต่อวันก็เพราะพระบารมีของสมเด็จพระนารายณ์ฯ พระองค์เดียวเท่านั้น

เกียรติยศ ชื่อเสียงยังไหลมาเทมาไม่หยุด บาทหลวงฝรั่งเศสชื่อ เวเรต์ บันทึกว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระราชทานบรรดาศักดิ์มาให้ขุนนางฟอลคอน ให้มีอิสริยยศระดับท่านเคานต์ ในราชสำนักฝรั่งเศส ทั้งนี้ เพื่อเป็นรางวัลให้ฟอลคอนทุ่มเท โน้มน้าวให้สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงเปลี่ยนไปนับถือคริสต์ให้จงได้

กันยายน พ.ศ.2230 เจ้าพระยาโกษา (ปาน) และคณะ ที่ไปสร้างชื่อเสียงในฝรั่งเศส เดินทางกลับมาจากปารีส พร้อมกับทหารฝรั่งเศสจำนวน 493 นาย

กองทหารฝรั่งเศสที่เข้ามาสยามในครั้งนี้ เป็นประเด็นให้ทุกฝ่ายเกิดระแวงสงสัยในตัวฟอลคอน แผนการที่สังหารฟอลคอนเริ่มมีการขยับปรับกำลังจากฝ่ายพระเพทราชาและขุนหลวงสรศักดิ์ โดยมีกองทหารฝรั่งเศส โดยนายพล เดส์ฟาชส์ เป็นตัวแปรสำคัญ

เหตุการณ์เข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อเมื่อสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ทรงพระประชวรอยู่ที่เมืองละโว้ มีการปล่อยข่าวว่า เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ร่วมกับกองทหารฝรั่งเศสคิดก่อการกบฏจะชิงบัลลังก์ มีความเคลื่อนไหวจากพระเพทราชาและขุนหลวงสรศักดิ์

26 พฤษภาคม พ.ศ.2231 ตอนย่ำค่ำ พระเพทราชา อัครมหาเสนาบดี ผู้คุมกำลังหลักในฐานะเจ้ากรมคชบาล นำกำลังทหารเข้ายึดพระราชวังละโว้ ตั้งตัวเป็นผู้พิทักษ์องค์พระเจ้าแผ่นดิน จับกุมพระราชบุตรบุญธรรมของสมเด็จพระนารายณ์ไปคุมขัง

ทหารของพระเพทราชาเร่งรุดรีบจะไปจับกุมฟอลคอน พระปีย์ และสมัครพรรคพวก

ฝรั่งเศสบันทึกว่า เมื่อฟอลคอนทราบเรื่องจึงชักชวนนายทหารฝรั่งเศส มองซิเออร์ เดอ บัว ซอง มองซิเออร์ เดอฟูร์บัง มองซิเออร์ อังดรีย์ และมองซิเออร์ เดอลุยซ์
เพื่อจะรีบไปเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระนารายณ์ฯที่กำลังทรงพระประชวร

เมื่อจะเข้าพระราชวัง ต้องผ่านพระทวาร (ประตู) ผู้เข้าเฝ้าทุกคนจะต้องปลดอาวุธตามระเบียบ ทหารของพระเพทราชาขอปลดอาวุธฟอลคอนและคณะ แต่
ฟอลคอนขุนนางเรืองอำนาจที่สุดในแผ่นดิน ไม่ได้เข้าเฝ้า เพราะถูกทหารจับกุมคุมขังทันทีที่พระทวาร

วันรุ่งขึ้นพระเพทราชาที่ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จให้ฟอลคอนเข้าพบ แล้วแจ้งว่า ที่ต้องยึดอำนาจเพราะกำลังมีผู้คิดประทุษร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดิน จึงขอควบคุมตัวไว้ก่อน มอบให้ฟอลคอนนำความไปแจ้งแก่พวกทหารฝรั่งเศสให้เข้าใจ อย่าต่อต้านพระเพทราชา

ข้อมูลเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ช่วงนี้ มีหลายสำนักนะครับ ต้องใช้ความคิดคำนึง สติ ประกอบการรับรู้ เรื่องการตายของฟอลคอน

ในจดหมายของ มองซิเออร์ มาติโน บันทึกว่า ทหารไปจับกุมฟอลคอนมาจองจำแบบคุกทั้ง 5 (ตรึงคอ มือทั้งสอง และเท้าทั้งสอง) ไว้เป็นเวลานาน มีการทรมานแสนสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ส่วนพระราชพงศาวดารของไทยบันทึกว่า

“ก็จัดแจงทแกล้วทหารให้ไปคอยเจ้าพระยาวิไชเยนทร์อยู่ ทางประตูจะเข้ามา ถ้าเข้ามาแล้วจงฆ่าเสีย ครั้นเจ้าพระยาวิไชเยนทร์เข้ามาถึงประตูพระราชวัง …ก็เอาไม้พลองตีเอาเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ตกจากเสลี่ยง แล้วประหารจนสิ้นชีวิต ณ ที่นั้น”

มีพงศาวดารบันทึกการตายของฟอลคอนแตกต่างกัน ซึ่งทุกฉบับบันทึกความทุกข์ทรมานก่อนตาย การสังหารขุนนางชาวกรีกไว้อย่างสยดสยอง รวมทั้งการทรมานฟอลคอนเพื่อจะที่เค้นหา จะรื้อค้น ทรัพย์สมบัติที่คาดว่า ฟอลคอนนำไปซุกซ่อน

สมเด็จพระนารายณ์ฯที่ทรงพระประชวรหนัก
ทรงทราบเรื่องที่พระเพทราชายึดอำนาจและราชบัลลังก์ ทรงพระพิโรธยิ่งนัก แต่ก็ไม่สามารถสั่งการใดๆ ได้อีกต่อไป

เพราะบรรดาขุนนาง แม่ทัพนายกองทั้งปวงไปสวามิภักดิ์เข้าพวกกับพระเพทราชาหมดแล้ว

พระปีย์ที่มีความกตัญญู คอยปรนนิบัติเฝ้าดูแลถวายงานต่อสมเด็จพระนารายณ์ ถือว่าเป็นเสี้ยนหนามของพระเพทราชา ถูกสังหารโดยโดนผลักตกจากกำแพงตกลงมาและตามไปตัดศีรษะอีกครั้ง

พระอนุชาทั้งสองพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์ คือเจ้าฟ้าน้อยและเจ้าฟ้าอภัยทศ เป็นรัชทายาทที่จะได้สืบราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระนารายณ์ฯ ถูกพระเพทราชาลวงว่า มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ฯ เมื่อทั้ง 2 พระองค์เสด็จถึงลพบุรี ก็ถูกขุนหลวงสรศักดิ์จับไปประหาร

สำหรับ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นบุตรของเจ้าแม่วัดดุสิต (บัว) ซึ่งเป็นพระนมในสมเด็จพระนารายณ์ฯ
กับขุนนางเชื้อสายมอญ ท่านเป็นเอกอัครราชทูตคนสำคัญของสยาม เดินทางไปพร้อมกับเชอวาเลีย เดอ โชมองต์ไปเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เมื่อ 1 กันยายน พ.ศ.2229 และเดินทางกลับเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ.2230 รวมเดินทางไปกลับอยุธยาฝรั่งเศสทั้งหมด 1 ปี 9 เดือน โดยขณะนั้นยังมีบรรดาศักดิ์เป็น ออกพระวิสุทธิสุนทร ท่านเป็นชายหนุ่มที่มีรูปงาม กิริยามารยาทเรียบร้อย มีไหวพริบดีรู้จักโต้ตอบ ได้ถูกเรื่องราวและกาลเทศะ เป็นนักการทูตมือ 1 ของสยามที่จงรักภักดีต่อสมเด็จพระ
นารายณ์ฯ เหนือชีวิต

เมื่อพระเพทราชาปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ได้สำเร็จ โกษา (ปาน) ได้รับมอบหมายให้ไปเป็นผู้เจรจากับนายพลที่คุมทหารฝรั่งเศสที่เมืองบางกอกให้ถอนทหารฝรั่งเศสออกไปจากอาณาจักรไทยได้สำเร็จ

ด้วยเหตุที่เป็นคนซื่อสัตย์ ในเวลาต่อมาโกษา (ปาน) ได้ทัดทานพระเพทราชา กรณีแต่งตั้งทั้งพระมเหสีและพระขนิษฐาของสมเด็จพระนารายณ์ฯ มาเป็นพระมเหสี มีเหตุให้ต้องพระราชอาญาเมื่อ พ.ศ.2243 โดนริบภรรยาตลอดจนทรัพย์สมบัติ ถูกโบยบ่อยครั้งจนในที่สุดถึงแก่อสัญกรรม (ช่วงปลายรัชสมัยพระเพทราชา)

เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่ 2 คุณทองดี ซึ่งเป็นหลานปู่ของเจ้าพระยาโกษา (ปาน) ได้อพยพไปอยู่กับเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง)

ต่อมาเมื่อเหตุการณ์สงบได้มาตั้งนิวาสสถานอยู่ ณ ตำบลสะแกกรัง เมืองอุทัยธานี

กาลต่อมา คุณทองดี หลานปู่ของเจ้าพระยาโกษา (ปาน) ปรากฏว่า เป็นบิดาของในหลวง ร.1 ปฐมกษัตริย์ในราชวงศ์จักรี

ฟอลคอน หนุ่มกรีกผู้เดินทางมาจากอีกซีกหนึ่งของโลก ชะตาฟ้าลิขิตให้เข้ามารับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ฯ มีคนชอบ มีคนชัง ถูกประหารในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2231 ในวัย 40 ปี

เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ไร้ซึ่งพระราชอำนาจโดยสิ้นเชิง เสด็จสวรรคตใน 11 กรกฎาคม พ.ศ.2231 ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ ลพบุรี รวมครองราชย์เป็นเวลา 32 ปี มีพระชนมพรรษา 56 พรรษา

สมเด็จพระเพทราชา เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 28 ของอาณาจักรอยุธยา และเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์บ้านพลูหลวง ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2231-2246 ทรงมีนโยบายขับไล่ชาวต่างชาติแทบทั้งหมดออกจากราชอาณาจักรอยุธยา

เป็นเรื่องที่หาข้อสรุปได้ยากหากมีคำถามว่า ฟอลคอนเป็นคนอย่างไร ฝ่ายที่ชิงชังมองว่าฟอลคอนเป็นชาวต่างชาติที่ฉวยโอกาสมาใช้อิทธิพลในราชอาณาจักรเพื่อผลประโยชน์ของชาติตะวันตก

แต่นักประวัติศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งมองว่าฟอลคอนเป็นแพะรับบาป เป็นข้ออ้าง เป็นเหตุผลที่ปั้นแต่งขึ้น ให้พระเพทราชายึดอำนาจโดยนำเอาความริษยาที่มีต่อฟอลคอนมาเป็นมูลเหตุการชิงราชบัลลังก์

ครอบครัวของขุนนางฟอลคอน ที่มีภรรยาตำแหน่ง ท้าวทองกีบม้า และบุตรชาย จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

ข้อมูลจาก ชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ไทย โดย
ส. พลายน้อย และ แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ฯ โดย
นพ.วิบูล วิจิตรวาทการ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image