การออกมายอมรับของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมว่า พรรครวมพลังประชาชาติไทย “แพ้ยับเยิน”
ถือได้ว่า “กล้าหาญ”
นี่ย่อมมิได้เป็นความพ่ายแพ้ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในลักษณะอันเป็น “ส่วนตัว” หากแต่ยังหมายถึงพรรครวมพลังประชาชาติไทยในลักษณะอันเป็น “องค์รวม”
ไม่ว่าจะเป็น ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ไม่ว่าจะเป็น นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง
ยิ่งหากสาวลึกไปยังองค์ประกอบอื่นอันได้แก่ นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายสำราญ รอดเพชร รวมถึง นายสุริยะใส กตะศิลา
ยิ่งเห็นสายสัมพันธ์ไปยัง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
ความพ่ายแพ้อย่างยับเยินจากเมื่อวันที่ 24 มีนาคม จึงมิได้ยับเยินเฉพาะพรรครวมพลังประชาชาติไทยเท่านั้น หากยังหมายถึงพรรคการเมืองใหม่
การทำความเข้าใจใน “ความพ่ายแพ้” จึงสำคัญ
ถามว่าเหตุปัจจัยอะไรทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนัดประชุมที่มหาวิทยาลัยรังสิตเพื่อจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่
คำตอบคือ ต้องการ “ต่อยอด”
อาศัยความสำเร็จจากการสามารถระดมมวลชนเรือนแสนก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 มาเป็นเหมือนกระดานหกในทางการเมือง
แปร “มวลชน”เป็น“คะแนน”เสียง
ถามว่าเหตุปัจจัยอะไรทำให้ กปปส.นัดประชุมที่มหาวิทยาลัยรังสิต เพื่อจัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทยขึ้น
คำตอบคือ ต้องการ “ต่อยอด”
อาศัยความสำเร็จจากการสามารถระดมมวลชนเรือนแสนก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มาเป็นเหมือนกระดานหกในทางการเมือง
แปร “มวลชน” เป็น “คะแนน” เสียง
ต่อกรณีของพรรคการเมืองใหม่ คำตอบมิได้อยู่ที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล หรือ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หรือ นายสุริยะใส กตะศิลา
หากอยู่ที่แม้กระทั่งความล้มเหลวในการเลือกระดับ “ท้องถิ่น”
ต่อกรณีของพรรครวมพลังประชาชาติไทย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ออกมายอมรับเองว่าประสบกับความพ่ายแพ้
มิใช่พ่ายแพ้อย่างธรรมดา หากแต่ “ยับเยิน”
นั่นสะท้อนให้เห็นว่ามวลชนเรือนแสนที่เข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีเป้าหมายอย่างหนึ่ง
แตกต่างไปจากเป้าหมายของพรรคการเมืองใหม่
นั่นสะท้อนให้เห็นว่ามวลชนเรือนแสนที่เข้าร่วมกับ กปปส.มีเป้าหมายอย่างหนึ่ง แตกต่างไปจากเป้าหมายของพรรครวมพลังประชาชาติไทย
นั่นก็คือ ดำเนินไปในแบบ “เฉพาะกิจ”
นั่นก็คือ เมื่อเกิด “รัฐประหาร” แล้วก็กลับบ้านใคร บ้านมัน
มีความจำเป็นที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจักต้องสรุป มีความจำเป็นที่ กปปส.จักต้องสรุปถึงจุด ร่วมและความสัมพันธ์ในทางการเมือง
ระหว่างการเข้าร่วม “ม็อบ” กับ “การเลือกตั้ง”
เหตุใดความสัมพันธ์ในห้วงที่เคลื่อนไหว กับ ความสัมพันธ์ในห้วงแห่งการเลือกตั้งจึงกลายเป็นคนละเรื่อง แตกแยกไปในแบบคนละทิศ คนละทาง
บทสรุปจาก “ความพ่ายแพ้” จึงทรงความหมาย