สารพัดข่าวพรรคน้องใหม่ จับตาวันความจริงปรากฏ

หลังจากมีกระแสข่าวแพร่สะพัดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ลีกปีล่าสุด เป็นทางเชื่อมให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก่อตั้งพรรคขึ้นมาใหม่ ภายใต้การดูแลของนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แกนนำพรรคภูมิใจไทย

จนนายวิชัยต้องออกมาตั้งโต๊ะแถลงปฏิเสธว่า ไม่มีการยึดพรรคภูมิใจไทยมาเป็นพรรคทหารให้ พล.อ.ประวิตร ส่วนเรื่องคอนเน็กชั่นหรือการมีสายสัมพันธ์กับเพื่อนตามวงการต่างๆ ที่เป็นข่าวออกมานั้น เชื่อว่านักธุรกิจในเมืองไทยส่วนใหญ่ต้องให้ความสำคัญกับนักการเมืองทุกรัฐบาล และบางคนสนิทในฐานะกลุ่มเพื่อน ทั้งเพื่อนร่วมรุ่น เพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องที่เติบโตกันขึ้นมา แต่ละคนก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มาวันนี้พวกเขาแต่ละคนต่างให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน

“ชีวิตวันนี้ยุ่งมากพอแล้วที่จะไปทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยสนใจหรือชอบหรือไม่เข้าใจแม้แต่น้อย นั่นคือเรื่องการเมือง จะไปยึดพรรคภูมิใจไทย พรรคอยู่ไหนผมยังไม่รู้จักเลย แล้วตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะเอาไปทำอะไร เพราะผมไม่มีความต้องการที่จะมีตำแหน่งในการเมือง ถ้าอยากได้ ผมทำไปนานแล้ว ไม่ต้องคอยวันนี้ครับ เพราะมีโอกาสวิ่งเข้ามาชนหลายที ผมได้แต่วิ่งหนีทุกครั้ง มาครั้งนี้หนักไปกับผมมาก นำผมไปพาดพิงกับ พล.อ.ประวิตร ว่าเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่อาจนำไปสู่การตั้งพรรคใหม่ ซึ่งท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมาก ท่านทำคุณประโยชน์ให้ประเทศไทยอย่างมาก ผมเคารพท่านมาตั้งนานแล้ว ก่อนท่านจะมามีตำแหน่งทางการเมือง แถมมีข่าวว่าผมเข้าไปรู้จักท่านเพราะคุณเนวิน (ชิดชอบ) แนะนำ อันนี้ยิ่งหนักไปกันใหญ่ เพราะไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด” นายวิชัยกล่าวไว้

แม้เจ้าตัวจะออกมาสยบข่าวจิ๊กซอว์ตัวสำคัญ สำทับกับ พล.อ.ประวิตร ประกาศชัดเจนว่า ไม่มีแนวคิดที่จะตั้งพรรค และไม่คิดที่จะเล่นการเมือง แต่ก็ยังมีการแสว่า ดิวนี้ไม่ใช่การยึดพรรคภูมิใจไทย แต่เป็นการตั้งพรรคขึ้นมาใหม่ โดยใช้ฐานเสียงจากพรรคภูมิใจไทยบางส่วนมาร่วมก่อตั้งพรรค โดยเฉพาะพื้นที่อีสานตอนใต้ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคภูมิใจไทย ทำให้ขณะนี้ภายในพรรคภูมิใจไทยมีความระส่ำระสายอยู่พอสมควร เพราะถ้าเสียฐานเสียงอีสานตอนใต้เท่ากับว่าแทบไม่เหลืออะไรเลย

Advertisement

แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ากระแสข่าวนี้จริงเท็จแค่ไหน เพราะการมือช่วงนี้มีแต่ข่าวลือต่างๆ นานา เพราะขนาดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายกนกศักดิ์ ปิ่นแสง นายกสมาคมกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย คนสนิทนายเนวิน จัดงานวันเกิดที่สโมสรกองทัพเรือ มีแขกจากทุกสารทิศ ไม่มีจะเป็นแวดวงการกีฬา แวดวงการเมือง แวดวงธุรกิจ ตามมาร่วมงานไม่ขาดสาย รวมถึงนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ก็มาร่วมอวยพร ที่ขาดไม่ได้คือ นายเนวินและนายวิชัย จนมีข่าวว่า พล.อ.ประวิตรก็จะมาร่วมงานด้วย

แต่เมื่อถึงเวลากลับไร้เงา พล.อ.ประวิตร จะมีก็แต่นายประวิทย์ มาลีนนท์ ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ที่มาร่วมอวยพร ทำเอาคอการเมืองผิดหวังไปตามๆ กัน

อย่างไรก็ตาม สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างนายเนวินกับ พล.อ.ประวิตรนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งที่มีการพลิกขั้วรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่กลุ่มเพื่อนเนวินแยกตัวจากพรรคพลังประชาชน มาร่วมตัวกับพรรคมัชฌิมาธิปไตย ตั้งพรรคภูมิใจไทย และได้รวมรัฐบาลกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯ ในขณะที่ พล.อ.ประวิตรเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่วนพรรคภูมิใจไทยได้กระทรวงใหญ่ อย่างกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคมไปครอง

Advertisement

และในระหว่างที่มีการชุมนุมต่อต้านของคนเสื้อแดงมุ่งหน้าไปยังโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งใช้เป็นสถานที่การประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และบุกเข้าในโรงแรมจนผู้เข้าร่วมประชุมต้องหนีไปคนละทิศละทาง ต่อมาปรากฏว่ามีชายชุดน้ำเงินเข้าปะทะกับคนเสื้อแดง

ในขณะเดียวกัน มีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ในพื้นที่เมืองพัทยา และ จ.ชลบุรี เป็นพื้นที่อันตรายขั้นร้ายแรง และมีการมอบหมายให้ นายสุเทพ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคงขณะนั้น เป็นผู้กำกับดูแลสถานการณ์

ต่อมาพบว่านายเนวินนั่งมอเตอร์ไซค์ไปเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ โดยนายเนวินเปิดเผยในภายหลังที่โรงแรมโคซี่ พัทยา ว่ามาสังเกตการณ์ เพราะเป็นห่วงสถานการณ์ แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับคนเสื้อน้ำเงิน

จึงเป็นที่มาของความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประวิตร นายเนวิน และนายสุเทพ เพราะหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า นายสุเทพมีท่าทีที่ชัดเจนมาตลอดกับการยอมรับร่างรัฐธรรมนูญของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ขณะที่พรรคภูมิใจไทยมีการสั่งเข้มไม่ให้คนในพรรคพูดถึงรัฐธรรมนูญ หรือจะพูดได้เพียงอยู่ที่เสียงประชาชนจะว่าอย่างไร

ทั้งหมดเป็นความเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ จึงจะต้องจับตาดูต่อไปว่า หลังผลการประชามติออกมา สถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป และเมื่อถึงวันเลือกตั้งทุกอย่างก็จะชัดเจน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image