ผู้เขียน | ไพรัช วรปาณิ |
---|
อำนาจหน้าที่กับจิตวิญญาณของ‘ทนายแผ่นดิน’
หลังจากเกิดข่าวกรณีของ “บอสกระทิงแดง” ดังครึกโครมทางสื่อ ทำให้เพื่อนฝูงและประชาชนแฟนๆ ผู้อ่านหลายท่าน ส่ง “ปุจฉา” มาถามผู้เขียนในฐานะเป็นกรรมการอัยการว่า แท้จริงแล้ว พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายอย่างไร? และพึงมีจิตวิญญาณในการปฏิบัติหน้าที่เช่นใด?
ทั้งนี้ อำนาจหน้าที่หลักๆ ได้บัญญัติไว้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 13 องค์กรอัยการ มาตรา 248 ว่า
“องค์กรอัยการมีหน้าที่และอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายพนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีและปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เที่ยงธรรมและปราศจากอคติทั้งปวง และไม่ให้ถือว่าเป็นคำสั่งทางปกครอง
การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่นขององค์กรอัยการให้มีความเป็นอิสระ โดยให้มีระบบเงินเดือนและค่าตอบแทนเป็นการเฉพาะตามความเหมาะสมและการบริหารงานบุคคลเกี่ยวกับพนักงานอัยการต้องดำเนินโดยคณะกรรมการอัยการ ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยประธานกรรมการ ซึ่งต้องไม่เป็นพนักงานอัยการ และผู้ทรงคุณวุฒิบรรดาที่ได้รับเลือกจากพนักงานอัยการ ผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีบุคคลซึ่งไม่เป็นหรือเคยเป็นพนักงานอัยการมาก่อนสองคน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
กฎหมายตามวรรคสาม ต้องมีมาตรการป้องกันมิให้พนักงานอัยการกระทำการหรือดำรงตำแหน่งใดอันมีผลประโยชน์ให้การสั่งการหรือการปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามวรรคสอง หรืออาจทำให้มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวต้องกำหนดให้ชัดแจ้งและใช้เป็นการทั่วไป โดยจะมอบอำนาจให้มีการพิจารณาเป็นกรณีๆ ไปมิได้”
ฉะนั้น โดยสรุปอำนาจหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุด ที่หลักใหญ่คือ…
1.การอำนวยความยุติธรรม
พนักงานอัยการจะพิจารณารวบรวมข้อมูลอรรถคดีและวินิจฉัยสั่งคดีทั้งปวง ดำเนินคดีอาญาทางศาล และดำเนินอรรถคดี ตามอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการในฐานะทนายแผ่นดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่นซึ่งบัญญัติว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการ เช่น
การฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้น ตลอดจน ฟ้องอุทธรณ์ ฟ้องฎีกา และแก้อุทธรณ์ แก้ฎีกาด้วย
การยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์
การร้องต่อศาลให้สั่งผู้เสียหายกระทำหรือละเว้นกระทำการที่ผู้เสียหายจะกระทำให้คดีของพนักงานอัยการเสียหาย ในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ
การยื่นฟ้องคดี ที่ผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องคดีไว้แล้วได้ถอนฟ้องคดีนั้นเสีย เว้นแต่คดีซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัว เป็นต้น ฯลฯ
2.การรักษาผลประโยชน์ของรัฐ
จะเห็นได้ว่า สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาและให้คำปรึกษาในด้านกฎหมายแก่ส่วนราชการ หน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ดำเนินอรรถคดีแทนรัฐบาล หน่วยงานของรัฐและนิติบุคคล ที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ หรือพระราชกฤษฎีกาในฐานะทนายแผ่นดิน อาทิ ในคดีแพ่ง มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินคดีแทนรัฐบาลในศาลทั้งปวง กับมีอำนาจและหน้าที่ที่ตามกฎหมายอื่น ซึ่งบัญญัติว่าเป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการ ฯลฯ
3.การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
สำนักงานอัยการสูงสุด มีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน ดังนี้
ในคดีที่ราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดฟ้องเองไม่ได้โดยกฎหมายห้าม เมื่อเห็นสมควรพนักงานอัยการมีอำนาจเป็นโจทก์ได้ เช่น
ในคดีแพ่ง ผู้ใดจะฟ้องผู้บุพการีของตนไม่ได้ แต่เมื่อมีผู้ใดร้องขอขึ้นมา พนักงานอัยการมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องแทนได้
ในคดีอาญา ผู้ใดจะฟ้องคดีผู้บุพการีตนไม่ได้แต่เมื่อมีผู้ใดร้องขอขึ้นมาพนักงานอัยการมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องแทนได้
นอกจากนั้น การให้บริการช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนผู้ยากไร้ และประชาชนในชนบท เช่น การให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย การประนอมข้อพิพาท เป็นต้น
สําหรับประเด็นในเรื่องของทนายแผ่นดินที่พึงมีจิตวิญญาณของการเป็นพนักงานอัยการนั้น ผู้เขียนใคร่ขอนำบทความของท่าน ศ.โกเมน ภัทรภิรมย์ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีตอัยการสูงสุด เขียนไว้ในหนังสือ 100 ปีอัยการ เมื่อหลายปีก่อน ในเรื่อง “เครื่องหมายราชการสำนักงานอัยการสูงสุด” ตอนหนึ่งว่า…
…..มีท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งให้ดูภาพ พระแว่นสุริยกานต์ ซึ่งเป็นของใช้ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ผู้ทรงเคยเป็นหลวงยกกระบัตร (อัยการ) เมืองราชบุรี ทรงใช้เป็นแว่นขยายสำหรับทรงพระอักษร และทรงใช้สำหรับจุดไฟจากแสงพระอาทิตย์
อีกภาพหนึ่ง เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องรบ ทรงดาบ พระหัตถ์ขวาทรงถือช่อชัยพฤกษ์ ท่านผู้ใหญ่แนะว่า น่าจะนำสองสิ่งนี้ประกอบเพิ่มเป็นหมายราชการของหน่วยเพื่อเป็นสิริมงคล…
ในที่สุด เครื่องหมายของสำนักงานอัยการสูงสุดจึงเป็นรูปพระมหาพิชัยมงกุฎประดิษฐานเหนือพระแว่นสุริยกานต์และตราชูรูปพระขรรค์รองรับด้วยช่อชัยพฤกษ์ อันมีความหมายถึง อำนาจหน้าที่ในการเป็นทนายแผ่นดิน เป็นผู้ใช้กฎหมายด้วยความรอบคอบ เป็นธรรมและเด็ดขาด มีชัยชนะเหนืออธรรม
มีความหมายดีใช่ไหมครับ
สัญลักษณ์อันเป็นนามธรรมเหล่านั้นมีความหมายในทางจิตใจ!!
ใจของคนเป็นใหญ่เสมอ เพราะกำกับทิศทางการประพฤติปฏิบัติของคนอยู่ทุกลมหายใจ!
เป็น “อัยการ” จึงต้องมีความเที่ยงธรรมอยู่ในหัวใจ
เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายจึงไม่อาจใช้กฎหมายไปกดหัวข่มเหงใครโดยเด็ดขาด
เครื่องหมายของสำนักงานอัยการสูงสุดบ่งชี้ถึงคุณค่าความหมายทางจิตใจของผู้ที่รับราชการเป็นพนักงานอัยการทั้งปวง
เป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นสิริมงคล
เป็นเครื่องเตือนใจ รั้งสติให้ระลึกอยู่เสมอว่าจิตวิญญาณของผู้เป็น “ทนายแผ่นดิน” นั้นคือ จิตวิญญาณที่เป็นอิสระ ปราศจากการครอบงำของสิ่งอัปมงคลทั้งสาม คือ โลภ โกรธ และหลง
สิ่งอัปมงคลทั้งสามนี้ เป็นรากเหง้าของความชั่วร้าย เผลอไปเคลิ้มไป ปล่อยให้มันชักแถวกันมาครอบงำตัวเราเมื่อไหร่!
ความเป็น “อัยการ” ก็หมดสิ้นลงเมื่อนั้น?!!
ดังนั้น โดยสรุป ข้อเขียนนี้ คงเป็น “วิสัชนา” ของ “ปุจฉา” จากเพื่อนมิตรดังกล่าวข้างต้นได้ระดับหนึ่ง….ว่าไหม?
ไพรัช วรปาณ
กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ