‘เป้ย ปานวาด’ เล่าความรู้สึกเข้าฉากวันแรกสานต่อให้ ‘แตงโม’ ที่ถึงกับน้ำตาไหล

‘เป้ย ปานวาด’ เล่าความรู้สึกเข้าฉากวันแรกสานต่อให้ ‘แตงโม’ ที่ถึงกับน้ำตาไหล

หลังจากที่ เป้ย ปานวาด เหมมณี ตัดสินใจรับหน้าที่ในการสานต่อบท ‘จันทร์’ ในละครเรื่อง คุณชาย แทน แตงโม นิดา ที่แฟนละครต่างจับจ้องว่าเป็นใครที่จะมารับบทนี้ โดยล่าสุด เป้ย ก็ได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า ในตอนแรกแพลนเดิมของเธอคือตั้งใจพักงานละครอีกครั้งเพื่ออยู่กับลูกๆ

“อยู่ในช่วงระหว่างดูบทด้วยก็คิดว่าจะกลับมารับเล่นละครอีกทีช่วงพฤษภาคมเป็นต้นไป แต่พอผู้ใหญ่โทรมาเรื่องนี้ คือ ณ ตอนนั้นก็ 70 เปอร์เซ็นต์แล้ว แล้วก็มีในใจอยู่แล้วว่าเราน่าจะเล่น แต่ว่ายังไม่ได้แจ้งผู้ใหญ่ไปเพราะว่าอยากจะขอดูบทก่อนว่าสามารถเล่นได้ไหม ขอทำการบ้านก่อนจะรับ”

ด้วยเพราะกังวลว่าถ้าอยู่ๆ รับปากไปเลยแล้วถ้าเกิดเราทำได้ไม่ดี มันก็คงไม่ดีเท่าไหร่กับการจะมาสานต่อแทนแตงโม ก็เลยขออนุญาตทางผู้ใหญ่ทำการบ้านก่อนจะให้คำตอบดีกว่า

“พอทำการบ้านได้อ่านบทแล้ว ก็ต้องมานั่งคุยเรื่องคาแร็กเตอร์กับผู้ใหญ่ พี่หวอ (วรวิทย์ ขัตติยโยธิน) ผู้กำกับด้วยว่าจะต้องเล่นให้ออกมาในรูปแบบไหนเพราะว่ามันค่อนข้างจะใกล้เคียงกับคาแร็กเตอร์ละครก่อนหน้านี้เรื่อง วานวาสนา ก็จะต้องเล่นยังไงให้แตกต่างต้องทำการบ้านค่อนข้างเยอะ”

Advertisement

ซึ่งการมารับบท จันทร์ ในครั้งนี้ เป้ยก็ตัดสินใจสานต่อคาแร็กเตอร์ตัวละครนี้ตามความตั้งใจเดิมของแตงโม

“เราก็รู้สึกถึงความตั้งใจนั้นว่าโมอยากให้มันเป็นแบบนี้ โมวางบทของตัว จันทร์ เป็นแบบนี้ พอมาสานต่อมีความรู้สึกอยากตั้งใจทำให้เหมือนที่โมวางไว้ก็คือ เล็บแดง ปากแดง เพื่อที่คนดูจะได้เพิ่มความอิน แล้วก็ผมก็เป็นสีเข้ม เป้ยก็มีการไปตัดผมและย้อมสีผมให้เข้มขึ้น”

ยังเล่าต่อว่า “ก่อนที่จะรับปากจะเล่นตอนเห็นบทก็นึกถึงโม แล้วก็บอกโม ขออนุญาตเขาก่อนนึกในใจ ถ้าโมอนุญาตให้เราเล่นก็ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นอะไรแบบนี้ คิดในใจแบบนั้นไป”

Advertisement

ทั้งนี้ พอได้มาเล่นฉากแรกที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อวันก่อน เป้ยก็ว่าถึงกับน้ำตาไหล

“โห ฉากแรกที่เพิ่งเข้าไปเมื่อวันก่อน น้ำตาไหลเลยพอถ่ายเสร็จมันมีความรู้สึกกังวลหลายอย่าง กดดันหลายๆ อย่าง คือเรากดดันตัวเราเองนะ ทุกๆ อย่างคือ พี่ๆ ทีมงานทุกคน ผู้กำกับนักแสดงทุกคนให้กำลังใจเราอย่างดีมาก แต่ด้วยอะไรหลายอย่างพอเรารับบทอยู่ในจุดๆ นี้แล้ว พอเบื้องหลังมันจะมีความคิดมากมายที่มันต่อสู้กับเรามันจะมีคำถามว่า เราจะเล่นได้ไหม มันมีความกังวล มีความกลัวทุกอย่างเราจะเล่นได้ไหม เราจะทำได้ดีหรือเปล่า คนจะให้โอกาสเราไหม คือมันมีเข้ามาเยอะมาก แล้วความกังวลนั้นมันก็ทำให้เป้ยรู้สึกกดดันตัวเอง แล้วทำให้เป้ยค่อนข้างจะเครียดในการทำการบ้าน พอเข้าฉากวันแรกเป้ยเล่นปุ๊บแล้วออกมาจากฉากเป้ยน้ำตาไหลเลย”

“แต่พอเรารู้ว่า เฮ้ย…มันเกิด เราถ่ายไปแล้วเรารู้สึกมันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ เราต้องไม่กดดันตัวเอง คือเรารีบมาคุยกับตัวเองเลยว่าวันแรกที่เราคิดว่าเรารับ 70 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ได้บอกผู้ใหญ่แต่เราบอกว่าเรามีคำตอบแล้วว่าเรามีคำตอบ 70 เปอร์เซ็นต์ มันคืออะไร เราตั้งใจจะทำให้โมไม่ใช่เหรอ ทำไมไปกดดันตัวเองแบบนี้ มันไม่ดีเลย มันทำให้เราเล่นไม่ดีนะ ก็เลยต้องเปลี่ยนความคิดว่าเราจะต้องมีความสุขกับการเล่นแล้วเราได้ทำให้โมมากกว่ากดดันแล้วมาทำให้ตัวเองเครียด โชคดีที่ทีมงานรวมถึงนักแสดงทุกคนให้กำลังใจ มันก็เลยดีขึ้น”

ได้บทมาวันแรกไม่กล้าอ่าน?
 “ไม่กล้าอ่านเลย ไม่กล้าจับเลย เราอาจจะคิดเยอะด้วย เป้ยเป็นคนคิดเยอะ แต่เวลามันก็ทำให้ดีขึ้น และความตั้งใจ พอเราจับจุดได้ว่าเราเริ่มเครียด เริ่มกดดัน คนรอบข้าง สามี ลูกบอกทำไมแม่ดูเครียด กว่าเล่นละครเรื่องเล่าสุดที่ห่างไป 10 ปี กลายเป็นว่าละครเรื่องนี้เป้ยเครียด เขาเลยถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า พอมีคนเริ่มทักเราก็เริ่มบอกตัวเองว่าเป้ย ไม่ได้นะ ภายใต้การแสดงถ้าเรามีความเครียด หรือความไม่มั่นใจ มันจะออกมาไม่ดี สิ่งที่เราตั้งเป้าว่าจะทำให้โม กลายเป็นว่าจะทำไม่ได้ แล้วก็ทำได้ไม่เต็มที่ เราต้องรีบปรับตัวเองให้ได้ทันที เป้ยจะบอกคนอื่นว่าพอมายืนอยู่จุดๆ นี้มันก็ยากนะที่จะทำให้ได้ดี และเต็มที่อย่างเราตั้งใจไว้”

การนี้ เป้ยยังบอกว่า อยากให้มองว่าเป็นการมาเล่นเพื่อแตงโม ไม่ได้มาแทนแต่อย่างใด

“เป็นความคิดของเป้ย ไม่อยากให้คนมองว่าเป็นการมาเล่นแทน แต่เป็นการมาเล่นให้เพื่อโม เป็นการมาสานต่อให้โมในสิ่งที่โมทำทิ้งไว้ให้ไปได้ด้วยดี เป้ยเห็นความตั้งใจของโม เขาคงไม่สบายใจแน่ๆ ถ้ามีสิ่งอะไรที่เรายังทำค้างไว้อยู่ ก็อยากให้โมไม่ต้องเป็นห่วงตรงนี้ เป้ยจะทำให้ดีที่สุด”

“เราก็ต้องเตือนตัวเอง จะเป็นอย่างนี้ไม่ได้ ต้องขอบคุณทุกๆ คน นักแสดงทุกคนให้กำลังใจหลังจากที่เราได้เข้าฉากวันนั้นแค่ฉากเดียว น้องตงตงส่งข้อความมาหาว่าสู้ไปด้วยกัน เราก็ดีใจ”

เพื่อนมาหาบ้างไหม? “เป้ยไม่รู้ว่าเป้ยคิดไปเองรึเปล่า เป้ยไม่อยากจะแตะ เอาเป็นว่าเรารับรู้ได้ถึงสัญญาณที่มันดี ความรู้สึกที่มันดี ขออนุญาตเก็บไว้ดีกว่า”

“มีไปวางดอกไม้ค่ะ ก็เล่าให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ก็ไปทำบุญให้ ก็ทำบุญที่เป้ยทำได้ ด้วยเป้ยนับถือศาสนาอิสลาม เป้ยก็ทำบุญในรูปแบบของเป้ย แล้วเป้ยก็ยังจะมีแพลนอีกหลายๆ แพลนที่เราอยากจะทำให้โมได้รับ มีการส่งข้อความไปหาแอนนา แต่ยังไม่ได้ซื้อ เป้ยถามแอนนาว่าน้องแมวทานอาหารยี่ห้ออะไร ถ้าทำอะไรได้เป้ยก็อยากจะทำ ในฐานะเพื่อนร่วมวงการคนนึง แล้วเราก็มาสานต่องานให้ด้วย”

เหมือนเป็นสิ่งที่โมยังห่วงอยู่?

“เราพยายามคิดว่าโมจะเป็นห่วงอะไรบ้าง ก็คือตรงนี้ และยังมีอีกหลายอย่าง คุยกับทีมงานอยู่ว่าจะไปทำอะไรให้โมกันบ้าง”

ก่อนจะเล่าถึงความผูกพันกับแตงโมว่า

“เรียกว่าเป็นเพื่อนร่วมวงการที่มันอยู่ในช่วง 10 กว่าปีที่แล้วที่มีอีเวนต์เยอะๆ ก็จะเจอกันตลอดเวลา เราก็จะพูดคุยกันตลอด ด้วยนิสัยเป้ยกับโมคล้ายกัน อารมณ์ช่างแต่งหน้าจะกลัวเราสองคน เพราะพอมาอยู่ด้วยกัน เขาบอกว่าสองคนนี้มารวมตัวกันไม่ได้ เดี๋ยวกะเทยจะกลับ กะเทยจะตายหมดจะประมาณนี้ พอเป้ยห่างไปมีครอบครัว เราก็เจอกันตามห้าง โมก็บอกว่าอยากไปเล่นกับพี่โปรด แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้มาซักครั้ง จะเป็นแนวนี้มากกว่า ถึงช่วงหลังเราจะไม่ค่อยได้เจอกัน เราเป็นเพื่อนในลักษณะของเพื่อนร่วมงาน แต่ถ้าช่วงไหนชีวิตเป้ยมีปัญหา โมก็จะส่งข้อความมาให้กำลังใจ”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image