ครั้งแรก!!“ณรงค์เดช”เปิดบ้านเล่ามหากาพย์“หุ้นวินด์”

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเกษม ณรงค์เดช ประธานกิตติมศักดิ์ กลุ่มบริษัท เคพีเอ็น จำกัด พร้อมด้วยลูกชาย 2 คนคือนายกฤษณ์ ณรงค์เดช ประธานกลุ่มบริษัท เคพีเอ็น จำกัด และนายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด กลุ่มบริษัท เคพีเอ็น จำกัด และทีมทนายความสำนักงานกฎหมายเบเคอร์ แม็คเค็นซี่ แถลงข้อเท็จจริงพร้อมเปิดใจเรื่องหุ้นบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือวินด์ฯ ที่กำลังเป็นข่าวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการชี้แจงเรื่องลายเซ็นปลอม ในคดีอาญาที่นายเกษม ฟ้องร้องดำเนินคดีกับคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา นายณพ ณรงค์เดช และนายสุรัตน์ จิรจรัสพร ที่ปรากฎอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไปอย่างมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในลำดับแรกก่อนที่จะแถลงข่าวรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง นายเกษมได้ชี้แจงถึงผลตรวจสุขภาพ ภายหลังมีข่าวปรากฎว่านายเกษมมีอาการหลงลืม พูดจาไม่รู้เรื่อง และตลอดช่วงเวลาการแถลงข่าว 2-3 ชั่วโมง ทางครอบครัวณรงค์เดชมีหลักฐานประกอบในทุกขั้นตอน และทำชาร์จอธิบายที่มาที่ไปอย่างชัดเจน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยเริ่มตั้งแต่โครงสร้างการถือหุ้นเดิมก่อนขายกิจการ โครงสร้างการถือหุ้นหลังจากนายณพเข้าซื้อกิจการจากผู้ถือหุ้นเดิม โครงสร้างการถือหุ้นหลังจากที่มีการโยกย้ายหุ้น Wind Energy Holding โครงสร้างการถือหุ้นฯครั้งที่ 2 และโครงสร้างการถือหุ้นครั้งที่ 3 โดยพบจุดน่าสงสัย 2 จุด ซึ่งมาตรวจสอบได้ภายหลังว่าใช้เอกสารปลอม คือ 1.ในสัญญาโอนหุ้นจาก Wind Energy Holding มาเป็นชื่อนายเกษม โดยในสัญญานี้ลงวันที่ 25 เมษายน 2559 และ 2.สัญญาแต่งตั้งตัวแทนระหว่างนายเกษมกับคุณหญิงกอแก้ว ของหุ้นบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลงวันที่ 25 เมษายน 2559 โดยใช้ช่องว่างทางกฎหมาย แม้ว่าจะคำสั่งคุ้มครองจากศาลฮ่องกงก็ตาม รวมถึงสัดส่วนการถือหุ้นที่ลดลงภายหลังการซื้อกิจการ จากเดิมที่ 59.46% เมื่อโอนหุ้นไปยังบริษัทที่ฮ่องกง เหลือสัดส่วนหุ้น 37.87%

Advertisement

นายเกษม ณรงค์เดช ประธานกิตติมศักดิ์ กลุ่มบริษัท เคพีเอ็น จำกัด กล่าวว่า เรื่องนี้มีความเข้าใจผิด ทำให้ทางครอบครัวณรงค์เดช รวมถึงผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องถูกพาดพิงและเกิดความเสียหาย จึงอยากชี้แจงด้วยข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ได้และมีหลักฐานยืนยันข้อเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งการถูกกล่าวหาพูดไม่รู้เรื่อง มีอาการหลงลืม โดยในใบรับรองจากแพทย์ระบุผลการตรวจประเมินว่าระดับสติสัมปชัญญะอยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ สามารถทำนิติกรรมได้ตามความประสงค์ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติวิสัย และสามารถเขียนลายมือชื่อได้ตามปกติ โดยลงวันที่ตรวจ 13 พฤศจิกายน 2561 ทั้งนี้ ตีกอล์ฟและออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง

นายปิยะ ครุฑเดชะ ทนายความสำนักงานกฎหมายเบเคอร์ แม็คเค็นซี่ เปิดเผยว่า สำหรับคดีอาญาที่นายเกษม ฟ้องคุณหญิงกอแก้ว นายณพและนายสุรัตน์ ในฐานความผิดร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมตามที่เป็นข่าว ครอบครัวณรงค์เดชและทนายความได้ชี้แจงข้อเท็จจริงว่า คดีความดังกล่าวที่ทางศาลมีการยกฟ้องคดี เป็นคดีในชั้นศาลไต่สวนมูลฟ้อง โดยศาลใช้เวลาในการไต่สวนพยาน 2 วัน ไม่ได้ใช้เวลาเป็นเดือนตามที่ปรากฎเป็นข่าว ทั้งคำพิพากษาของศาลก็ไม่ได้กล่าวว่าลายมือชื่อของนายเกษมในเอกสารพิพาทเป็นลายมือชื่อจริง โดยนายเกษมได้มอบหมายให้ทนายความเตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวต่อศาลแล้ว

Advertisement

นายปิยะ กล่าวว่า ลายมือชื่อที่ปรากฎในเอกสารทั้งหมด นอกจากนายเกษมจะยืนยันว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของตนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของศาลยุติธรรมที่มีประสบการณ์ในด้านการตรวจพิสูจน์ มีความคิดเห็นยืนยันว่าลายมือชื่อที่ปรากฎในเอกสารไม่ใช่ลายมือชื่อของนายเกษม สอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐ ซึ่งได้จัดทำรายงานการตรวจพิสูจน์ตามหลักมาตรฐานสากล พร้อมภาพสีกราฟฟิกเทียบเคีบงตัวอย่างลายมือชื่อที่แท้จริงของนายเกษม ประมาณ 50 ลายมือชื่อกับลายมือชื่อที่ปรากฎอยู่ในเอกสารปลอมต่างๆ พบว่าความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ประธานกลุ่มบริษัท เคพีเอ็น จำกัด กล่าวถึงจุดเริ่มต้นว่า ในช่วงปี 2558 นายณพได้มาพรีเซนท์ธุรกิจบริษัท วินด์ฯ ที่เป็นธุรกิจพลังงานลม โดยอยากให้เป็นธุรกิจหนึ่งในเครือเคพีเอ็นกรุ๊ป ซึ่งเราเองก็มีธุรกิจหลายด้านอยู่แล้ว ทางครอบครัวก็ยินดีที่จะสนับสนุนในด้านทรัพย์สินและเงินทุน และที่สำคัญที่สุดคือเครดิตของเคพีเอ็นและเครดิตของนายเกษม และได้พูดคุยกันมาตลอดว่าเป็นธุรกิจครอบครัวและมีการจัดสรรหุ้นกันเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน

นายกฤษณ์ กล่าวว่า ในครอบครัวมีบริษัทในเครือประมาณ 40 บริษัท ใครดูแลบริษัทไหนก็รับผิดชอบบริษัทนั้น คล้ายๆ เป็นกฎตระกูลว่าจะจัดสรรกันอย่างไร ซึ่งจะเกาะกันไปใน 3 พี่น้อง โดยบริษัทนี้นายณพเป็นผู้ดูแล ผมและนายกรณ์เป็นกรรมการบริษัทอยู่ช่วงหนึ่ง อย่างไรก็ตามการลงทุนในบริษัท วินด์ฯ ส่วนหนึ่งใช้เงินกู้จากธนาคารและส่วนหนึ่งใช้เงินจากที่บ้าน โดยในส่วนนี้ใช้เม็ดเงินประมาณ 2,000 กว่าเกือบ 3,000 ล้านบาท

“เมื่อดำเนินการมาสักระยะจนกระทั่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ได้รับหมายศาลคดีอาญาจากผู้ถือหุ้นเก่า ทำให้ทราบว่าสิ่งที่ผู้ถือหุ้นกับสิ่งที่นายณพอธิบายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ตรงกัน ทางนายเกษมซึ่งเป็นคุณพ่อ ได้เรียกนายณพมาพูดคุยไม่ต่ำกว่า 7-8 ครั้ง ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คำตอบที่ได้ไม่ตรงความจริง และปัดไปเรื่อยๆ ทั้งนี้จะต้องเรียนว่าธุรกิจครอบครัวดำเนินการมา 3 เจนเนอเรชั่น ตั้งแต่นายถาวร พรประภา ไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง จะทำธุรกรรมอะไรไม่มีการโกงเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ได้รับผลกระทบแค่เฉพาะครอบครัว แต่ยังมีผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นบุคคลมีชื่อเสียงทั้งนั้น ปัจจุบันถามว่าหุ้นนี้จะเข้าเทรดใหม่ (ไอพีโอ) ได้หรือไม่ หรือขายใครได้หรือไม่ มีคดียุบยับ ” นาย กฤษณ์ กล่าว

นายกฤษณ์ กล่าวว่า เพราะฉะนั้นในเดือนเมษายน 2561 จึงต้องออกแถลงการณ์ เนื่องจากนายณพใช้เครดิตครอบครัวกู้เงินนอกระบบอีกจำนวนมาก จึงต้องมีการชี้แจง เนื่องจากครอบครัวทำธุรกิจโปร่งใส จนกระทั่งช่วงกลางปีที่ผ่านมา ได้รับหมายศาลจากฮ่องกงว่านายเกษมเป็นเจ้าของหุ้นบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด ในสัดส่วน 99.99% จากการโอนหุ้นวินด์ฯ ไปยังบริษัทนี้ โดยศาลฮ่องกงมีคำสั่งคุ้มครอง ห้ามเคลื่อนย้ายหุ้น เราในฐานะเจ้าของหุ้นก็ดำเนินการตามคำสั่งศาลคือไม่เคลื่อนย้ายหุ้น และนายเกษมได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อต้องการจะบอกให้ผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทรับทราบ

นายปิยะ กล่าวว่า ซึ่งในช่วงแรกที่นายณพเข้ามาพูดคุยเรื่องธุรกิจวินด์ฯ ภายหลังการจัดหาทรัพย์สินแล้ว ทางนายณพก็ไปดำเนินการ โดยไม่ได้กลับมารายงานหรือพูดคุยเรื่องรายละเอียดการลงทุน เช่น จะมีโครงสร้างการลงทุนอย่างไร จะมีการตั้งบริษัทเข้าไปเทคโอเวอร์กิจการรูปแบบไหนอย่างไรในช่วงปี 2559-2560 หลังจากนั้นเริ่มมีประเด็นช่วงต้นปี 2561 ที่ผ่านมา นายเกษมและนายกฤษณ์ถูกนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ผู้ถือหุ้นวินด์เดิม ฟ้องคดีอาญา และถูกกล่าวหาว่านายเกษมและนายกฤษณ์ร่วมกันกับนายณพโกงเจ้าหนี้

“หลังจากที่ถูกฟ้องคดีอาญาก็พยายามสอบถามนายณพว่ามีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่ได้รับคำชี้แจงอย่างชัดเจน จนกระทั่งช่วงประมาณกลางปี นายเกษมได้รับหมายศาลอีก 1 ฉบับจากฮ่องกง ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่นายเกษมรับทราบว่าถูกเอาชื่อไปใส่เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท โกลเด้น มิวสิค จึงพยายามจะระงับข้อพิพาทไม่ให้เหตุการณ์บานปลายและมีเจตนาที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลและแก้ปัญหาให้ทุกฝ่าย แต่ในระหว่างเรียกประชุมผู้ถือหุ้น นายเกษมถูกถอดจากการเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทดังกล่าว โดยมีชื่อคุณหญิงกอแก้ว นายสุรัตน์ อ้างว่านายเกษมได้ทำสัญญาแต่งตั้งตัวแทนไว้” นายปิยะกล่าว

นายปิยะ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบเอกสารที่ฮ่องกง เช่น ตราสารการโอนหุ้น ทางนายเกษมจึงยืนยันว่าลายมือชื่อที่ปรากฎในเอกสาร ไม่ใช่ลายมือชื่อของตนและมอบหมายให้ทีมทนายรวบรวมเอกสารส่งให้กับคนตรวจพิสูจน์ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมีเคสดังๆ ที่รับจ้างทำให้ เช่น เคสของเฟซบุ๊ก ทั้งนี้นำหลักฐานสู้คดีในชั้นศาล แต่ศาลบอกว่าหลักฐานส่วนนี้ไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำความผิด จึงมีคำสั่งยกฟ้อง ซึ่งความคืบหน้าส่วนนี้ทางนายเกษมจึงจะใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อในชั้นศาล

นายปิยะ กล่าวว่า และในระหว่างการดำเนินคดี กลับพบว่ามีเอกสารปลอมอีกหลายฉบับ โดยหนึ่งในนั้นคือสัญญาซื้อขายหุ้นบริษัทวินด์ ที่บริษัท เคพีเอ็น เอนเนอร์ยี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ขายหุ้นให้กับนายเกษมในราคาเพียง 2,400 ล้านบาท ก่อนที่หุ้นจะถูกโอนต่อไปอีกทอดที่บริษัท โกลเด้น มิวสิค ทั้งที่หุ้นจำนวนเดียวกันนี้นายณพได้เคยตกลงซื้อจากเข้าของเดิม จำนวนเงิน 700 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า และภายหลังที่นายเกษม นายกฤษณ์และนายกรณ์พยายามจะติดต่อพูดคุยกับนายณพมาโดยตลอด ประกอบกับมีผู้ใหญ่พยายามจะช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย แต่ทั้ง 2 ฝ่ายก็ยังไม่สามารถสรุปการเจรจากันได้ อย่างไรก็ตาม ทางครอบครัวยังยืนว่านายณพยังอยู่ในสถานะคนในตระกูล แต่ถูกถอดชื่อในกลุ่มเคพีเอ็น และได้ยื่นฟ้องนายณพเรื่องการใช้เอกสารปลอม ขณะที่นายเกษมกล่าวว่าช้ำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังเป็นห่วงหลาน 2 คน (ลูกของนายณพ) ทั้งนี้ ในระหว่างที่ครอบครัวณรงค์เดชแถลงข่าว ด้านนายณพก็จัดแถลงข่าวเรื่องการดำเนินธุรกิจบริษัท วินด์ฯ เช่นเดียวกัน

เกาะกระแสเศรษฐกิจ กับ Line@มติชนเศรษฐกิจใกล้ตัว

เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image