‘กรมชลฯ’ เดินหน้าใช้โครงข่ายน้ำภาคตะวันออก หวังแก้แล้งอีอีซี

นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า กรมชลฯได้วางแผนบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออกอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้มีปัญหาขาดแคลนน้ำหรือแย่งน้ำระหว่างภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเหมือนในอดีต ทั้งนี้ การทำงานจะมีการตกลงร่วมกันของผู้ใช้น้ำทั้งหมด มีการตั้งคณะทำงานใน คีย์ แมน วอร์รูม ซึ่งเป็นการบูรณาการทุกภาคส่วนประชุมทุก 15 วัน ดังนั้นการบริหารน้ำภาคตะวันออกจึงเป็นไปตามข้อห่วงใยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จะต้องไม่ขาดแคลนน้ำ และประชาชนในภูมิภาคจะต้องมีน้ำอุปโภคและบริโภค

“ขอยืนยันว่ากรมชลฯ จะดูแลและบริหารจัดการน้ำให้ดีที่สุด โดยเฉพาะน้ำอุปโภค บริโภค จะไม่ขาดแคลน และจะไม่ให้กระทบต่อพื้นที่อีอีซี เพราะทุกฝ่ายรู้ดีว่าเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญ ขณะที่ภาคการเกษตร ได้มีการจัดสรรน้ำไว้ให้ตามที่มีการตกลงร่วมกันแล้ว” นายทองเปลวกล่าว

นายสุชาติ เจริญศรี รองอธิบดีกรมชลประทาน ฝ่ายบริหาร กล่าวว่า พื้นที่อีอีซี 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง มีความต้องการใช้น้ำในฤดูแล้งรวม 430 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) แต่ปีนี้มีปริมาณน้ำประมาณ 410 ล้าน ลบ.ม. ยังขาดอีกประมาณ 20 ล้าน ลบ.ม. เนื่องจากปริมาณฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ย จึงต้องจัดหาปริมาณน้ำส่วนที่ขาด อีกทั้งต้องสำรองป้องกันกรณีฝนทิ้งช่วงถึงเดือนมิถุนายน 2563 ขณะนี้ กรมฯได้หารือร่วมกับทุกหน่วย และสามารถลงนามข้อตกลงกับกลุ่มผู้ใช้น้ำลุ่มน้ำคลองวังโตนด เพื่อขอผันน้ำข้ามลุ่มตามกฎหมายใหม่

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า โดยจะผันจากอ่างเก็บน้ำคลองประแกด จ.จันทบุรี มาเติมที่อ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง จำนวน 10 ล้าน ลบ.ม. โดยจะเริ่มผันน้ำในวันที่ 1-25 มีนาคม 2563 ซึ่งอ่างประแสร์เป็นอ่างหลักที่ส่งน้ำให้พื้นที่อีอีซี ปัจจุบันอ่างคลองประแกดมีความจุ 60 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีน้ำใช้การได้ประมาณ 40-50 ล้าน ลบ.ม. ในพื้นที่จะใช้ประมาณ 15-20 ล้าน ลบ.ม. จึงมีน้ำที่จะนำมาช่วยเหลืออีอีซีได้ แต่ระหว่างผันหากปริมาณน้ำกระทบต่ออ่างจะหยุดทันที

Advertisement

สำหรับ น้ำที่ยังขาดอีก 10 ล้าน ลบ.ม. จะมาจากที่ประชุมคีย์แมนวอร์รูมที่ได้ขอความร่วมมือให้ภาคอุตสาหกรรม และการประปาทุกสาขา ลดการใช้น้ำลงกว่า 10% ปัจจุบันการใช้น้ำเป็นไปตามแผนที่กรมฯวางไว้ และในส่วนของบริษัท อีสวอเตอร์ ซึ่งเป็นเอกชนที่ผลิตน้ำป้อนภาคอุตสาหกรรม ปรับปรุงระบบน้ำและได้มีการร่วมกันหาแหล่งน้ำดิบสำรองประมาณ 18 ล้าน ลบ.ม. และได้ปรับปรุงระบบ สูบกลับ วัดละหารไร่ เพื่อเติมน้ำให้กับอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล วันละ 100,000 – 150,000 ลบ.ม. ให้ปรับปรุงระบบสูบกลับคลองสะพานเพื่อเติมอ่างประแสร์อีก 10 ล้านลบ.ม.ให้เสร็จภายในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์นี้

นอกจากนี้ ได้เร่งให้เชื่อมท่อประแสร์-คลองใหญ่ และเชื่อมท่อประแสร์-หนองปลาไหล ให้แล้วเสร็จ เพื่อลดการสูญเสียน้ำประมาณ 10-20 ล้าน ลบ.ม. สำหรับ การประปาส่วนภูมิภาคที่ไม่สามารถนำน้ำจากอ่างคลองหลวงมาใช้แทนน้ำที่ขาดจากอ่างบางพระนั้น นายทองเปลว ได้สั่งการให้มีการขุดลอกคลองและระบายน้ำจากอ่างคลองหลวงมาที่สถานีสูบน้ำพานทอง ระยะทาง 60 กิโลเมตร เพื่อสูบมาเก็บที่อ่างบางพระประมาณ 10 ล้าน ลบ.ม.

“จากการเชื่อมโยงโครงข่ายน้ำ คาดว่าจะทำให้มีน้ำเพียงพอต่อความต้องการใช้ ประกอบกับในช่วงเดือนเมษายน- มิถุนายนนี้ คาดว่าจะมีฝนในช่วงเปลี่ยนฤดูคาดว่าจะมีปริมาณน้ำไหลลงอ่างอีกประมาณ 50 ล้าน ลบ.ม. จึงมั่นใจได้ว่าจะมีปริมาณน้ำเพียงพอจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2563 ตามที่ฝ่ายนโยบายต้องการ โดยกรมฯ จะทำทุกทางเพื่อให้ประชาชนผ่านแล้งนี้ไปให้ได้” นายสุชาติกล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image