‘รองปลัดยธ.’แจงคดี’บิลลี่’ยันไม่ได้ปฏิเสธเป็นคดีพิเศษ ดีเอสไอแจงขั้นตอน

ยธ.แจง “คดีบิลลี่” ดีเอสไอไม่ได้ปฏิเสธรับเป็นคดีพิเศษ อยู่ระหว่างดำเนินการ ดีเอสไอแจงขั้นตอนข้อเท็จจริง

เมื่อวันที่ 17 เมษายน นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม กล่าวชี้แจงกรณีสื่อมวลชนนำเสนอแถลงการณ์ของคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) ในประเด็น “ประเทศไทย : ยังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในวันครบรอบ 4 ปีที่ “บิลลี่” ถูกบังคับสูญหาย” และระบุว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษปฏิเสธการรับคดีเป็นคดีพิเศษ โดยได้เรียกร้องให้ดีเอสไอดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนและสอบสวนเรื่องดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ ว่า ดีเอสไอยืนยันว่าการดำเนินการทุกประการเป็นไปตามกฎหมาย และเรื่องยังอยู่ในกระบวนการทำงาน มิใช่มีมติไม่รับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษแล้วตามที่ปรากฏในข่าวแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันดีเอสไอได้ออกเอกสารข่าวประเด็นดังกล่าวโดยระบุว่า เนื่องจากข้อมูลกรณีดังกล่าวคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงอยู่มาก กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงขอชี้แจงทำความเข้าใจต่อสาธารณชน ดังนี้ 1.นายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ได้หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ระหว่างที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมในความผิดเก็บของป่าและถูกควบคุมตัวอยู่

เอกสารระบุอีกว่า 2.พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก่งกระจาน พื้นที่เกิดเหตุ ได้ดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมนายพอละจี ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีอ้างว่าจับกุมนายพอละจีในความผิดเก็บของป่า แต่ปล่อยตัวไปโดยไม่ได้ดำเนินคดี และส่งสำนวนการสอบสวนไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือสำนักงาน ป.ป.ท.แล้ว โดยเรื่องอยู่ระหว่างการไต่สวน 3.นางพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมีนอ ภรรยาของนายพอละจี ได้ยื่นเรื่องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนเกี่ยวกับการหายตัวไปของนายพอละจีอีกทางหนึ่ง และขอให้รับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำงานโดยบูรณาการกับตำรวจภูธรภาค 7 และหน่วยงานในพื้นที่ ปัจจุบันสืบสวนเสร็จแล้ว เห็นว่าการหายตัวไปอาจเกิดจากการกระทำผิดอาญา

Advertisement

เอกสารระบุด้วยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงเสนอเรื่องต่อคณะอนุกรรมการคดีพิเศษ และคณะอนุกรรมการคดีพิเศษได้เสนอความเห็นควรรับเป็นคดีพิเศษต่อคณะกรรมการคดีพิเศษในการประชุมครั้งที่ผ่านมาแล้ว ในการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษเห็นว่ายังขาดข้อมูลในส่วนที่คณะกรรมการ ป.ป.ท.ดำเนินการอยู่มาประกอบการพิจารณามีมติว่าไม่ซ้ำซ้อนกับอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ท. และเนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญที่กระทบอำนาจการสอบสวน คณะกรรมการคดีพิเศษจึงมีมติให้กรมสอบสวนคดีพิเศษไปดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนดังกล่าว และนำเสนอเพื่อประกอบการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษเพื่อมีมติในครั้งต่อไป

กรมสอบสวนคดีพิเศษยืนยันว่าการดำเนินการทุกประการเป็นไปตามกฎหมาย และเรื่องยังอยู่ในกระบวนการทำงาน มิใช่มีมติไม่รับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษแล้วตามที่ปรากฏในข่าวแต่อย่างใด จึงชี้แจงมาเพื่อทราบ

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image