จับตา!! หุ้น ‘โออาร์’ เข้าเทรดวันแรก

หุ้นOR

จับตา!! หุ้น ‘โออาร์’ เข้าเทรดวันแรก ราคาเหนือจองหรือไม่ จากมาร์เก็ตแคป 2.08 แสนล้านบาท 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 11 กุมภาพันธ์ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR จะเข้าทำการซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) หลังจากประกาศสิทธิจองหุ้นให้กับประชาชนแล้ว

โดย OR มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนกับ ตลท. และจำนวนหุ้นชำระแล้ว  11,610 ล้านหุ้น  ราคาพาร์ 10 บาทต่อหุ้น โดยส่วนจำนวนหุ้น IPO จำนวน 2,610 ล้านหุ้น จัดสรรให้แก่ประชาชนทั่วไป จำนวน 2,310 ล้านหุ้น ผู้ถือหุ้นเดิมของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จำนวน 299.99 ล้านหุ้น ส่วนราคา IPO อยู่ที่ 18 บาท ส่งผลให้ ณ วันเปิดตลาดซื้อขาย OR จะมีมาร์เก็ตแคป 208,980 ล้านบาท เมื่อเทียบกับราคา IPO

ด้านเปิดมุมมองของนักวิเคราะห์ ก่อนเห็นราคาซื้อขายจริง

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่า การเติบโตของบริษัทจะมาจากการขยายตัวของธุรกิจ Non-Oil และธุรกิจในต่างประเทศกลุ่ม CLMV ซึ่งมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสูง

Advertisement

ขณะที่ธุรกิจสถานีบริการน้ำมันในไทยจะยังสามารถเป็นแหล่งรายได้หลักและสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทต่อไปได้  แม้ระยะยาวเทคโนโลยีของ EV จะทำให้หุ้นโออาร์มีความเสี่ยงจากความต้องการใช้น้ำมันปิโตรเลียม แต่มองว่าหุ้นยังสามารถลดความเสี่ยง และเปลี่ยนเป็นการสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจได้จากการติดตั้ง EV Charger ในสถานีบริการของตัวเอง (ปัจจุบันมี 25 แห่ง)

หากอิงสมมติฐานกำไรปี 2564 ที่ 1.1-1.3 หมื่นล้านบาท (สูงกว่าปี 2561-2562 ที่ 0.9-1.1 หมื่นล้านบาท เพราะจำนวนสาขาที่สูงขึ้น) หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ประมาณ 0.92-1.08 บาท ที่ราคาตอนไอพีโอ จะได้ค่าพีอีที่ 16.4-19.6 เท่า ซึ่งการที่โออาร์เป็นผู้นำตลาดในประเทศ กลุ่มธุรกิจ Non-Oil แข็งแกร่ง และมีโอกาสการเติบโตในต่างประเทศ รวมทั้งระดับพีอีดังกล่าวยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มค้าปลีกที่มีพีอี ระดับ 30 เท่า

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ในปี 2564 บริษัทโออาร์น่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 41.2% โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของทุกกลุ่มธุรกิจ

Advertisement

ส่วนภาพระยะยาวตั้งแต่ปี 2564-2567 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 16.7% โดยใช้ปี 2563 เป็นปีฐาน จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว และการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์

โดยฝ่ายวิจัยกำหนดสมมติฐานให้มีการเปิดสถานีบริการน้ำมัน 108 แห่งต่อปี และเปิดสาขา Cafe Amazon เพิ่ม 418 สาขาต่อปี ตามเป้าหมายหลักของ OR ในขณะที่กลุ่มธุรกิจต่างประทศมีการเปิดสถานีบริการน้ำมันปีละ 35-36 แห่ง และขยายสาขา Cafe Amazon ปีละ 35-36 สาขา

ทำให้ปี 2565-2567 คาดว่าโออาร์จะมีกำไรเติบโต 16.7%, 5.8% และ 6.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท 1.5 หมื่นล้านบาท และ 1.6 หมื่นล้านบาทตามลำดับ

สำหรับมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมของโออาร์ในปี 2564 ด้วยวิธีคิดลดตามกระแสเงินสด (DCF) จะอยู่ที่ประมาณ 24 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ที่ 24.3 เท่า ซึ่งถือว่าใกล้เคียงค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของ P/E ในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานต่อ P/E ในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีกในสัดส่วน 70:30 ซึ่งจะได้ค่า P/E เท่ากับ 25.7 เท่า ขณะที่คาดว่าโออาร์จะจ่ายปันผลสูงถึง 0.8 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราส่วนเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ราว 4.2% ภายใต้สมมติฐานราคาหุ้นละ 18 บาท

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ถึงผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 พบว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 319,308.4 ล้านบาท ลดลง 25.8% จากช่วงเดียวกันของปี 2562

ขณะที่มีกำไรจากการดำเนินการก่อนหักค่าใช้จ่ายต่างๆ (EBITDA) อยู่ที่ 12,523 ล้านบาท ลดลง 9.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 และมีกำไรสุทธิ 5,868.5 ล้านบาท ลดลง 34.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562

โดยบริษัทฯ ชี้แจงว่าธุรกิจน้ำมันได้รบผลกระทบจากปริมาณการขายที่ลดลง และราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่นๆ (Non-Oil) ลดลงจากอุปสงค์ที่หายไป  ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเกิดระบาดโควิด-19

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image