ไม่ว่าคำประกาศจากพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าคำประกาศจากพรรคภูมิใจเรียกร้องให้ 250 ส.ว.ต้องฟังเสียงจาก 500 ส.ส.
ส่งผลในทางกดดันอย่างแน่นอน
ไม่เช่นนั้น คงไม่มี “ปฏิกิริยา”ที่ค่อนข้างรุนแรง แข็งกร้าว ทั้ง จาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทั้งจาก นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ต่อพรรคประชาธิปัตย์และต่อพรรคภูมิใจไทย
น่าสนใจก็ตรงที่เป็น “ปฏิกิริยา”ในเชิงทวงบุญคุณ กล่าวหา
ทวงบุญคุณที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาลหลังสถานการณ์ยุบพรรคพลังประชาชน ทวงบุญคุณผ่านคำพูด”ถ้าไม่ให้เลือกตั้งก็ได้”
เพราะตระหนักว่ามีบุญคุณจึงก่อให้เกิดความไม่พอใจ
ปฏิกิริยาไม่ว่าจะมาจาก นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไม่ว่าจะมาจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นปฏิกิริยาอันก่อให้เกิดความรู้สึกไปในทางที่ว่าเคยสัมพันธ์ เคยมีอะไรต่อกันและกัน
เพราะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาลร่วมกัน
2 พรรคนี้จึงไม่ควร”ประกาศ”แบบนี้
เนื่องจากการประกาศไม่เพียงแต่ทำให้โอกาสในการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีปัญหา หากยังเป็นรูปธรรมสะท้อนความขัดแย้ง แตกแยกภายใน
เป็นความขัดแย้ง แตกแยกระหว่างพวกฝ่ายเดียวกันก่อนการเลือกตั้งเพียง 8-9 วัน
เท่ากับแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย ที่ตระเตรียม “เท” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่ากับยืนยันความล้มเหลวของคสช.ความล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ในที่สุดก็คือ ความล้มเหลวของการรัฐประหาร
เวลา 9 วันก่อนวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคมจะเดินทางมาถึงจึงสำคัญ ยิ่งต่ออนาคตทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็นพรรครวมพลังประชาชาติไทย
อันเป็นพรรคในเครือข่ายที่แนบแน่นกับ”คสช.”
พลันที่มีการทิ้งระเบิดมาจากพรรคประชาธิปัตย์ พลันที่มีการทิ้งทุ่นมาจากพรรคภูมิใจไทย
เพราะเป็นการกระหน่ำไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา