บลจ.เอ็กซ์สปริงคว้าไลเซ่นส์ LBDU ลุยงานตัวแทนขายกองทุนรวม พร้อมเปิดทริกเกอร์ฟันด์ จับจังหวะหุ้นไทยฟื้นตัว

นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ XSpring AM เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของ XSpring AM ในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสเติบโตอย่างน่าสนใจ เนื่องจากบริษัทกำลังเดินหน้าขยายธุรกิจแบบ 360 องศา ทั้งจากการออกกองทุนใหม่ และเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมด้านตัวแทนจำหน่าย โดยล่าสุด XSpring AM ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่เป็นนายหน้า ค้า และจัดจำหน่ายกองทุนรวม (LBDU: Limited Broker Dealer Underwriter) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งจะเป็นโอกาสเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายกองทุนรวมให้กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) พันธมิตรที่มีอยู่ 10 แห่ง ประกอบด้วย 1.บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) 2.บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด 3.บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด 4.บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด 5.บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด 6.บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด 7.บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด 8.บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด 9.บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด และ 10.บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังมีพันธมิตรอีกหลายรายที่อยู่ระหว่างการลงนามความร่วมมือซึ่งน่าจะได้เห็นความคืบหน้าในเร็วๆ นี้

“การได้รับใบอนุญาต LBDU จะทำให้โครงสร้างรายได้ของ XSpring AM มีความหลากหลายมากขึ้น โดยในระยะยาวบริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะมีที่มาของรายได้จากการจัดการกองทุนทุกประเภท 60% และรายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายกองทุน 40% ซึ่งการมีรายได้มาจากหลายทางจะเป็นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน” นายยศกรกล่าว

นายยศกรกล่าวอีกว่า ขณะนี้ XSpring AM เตรียมพร้อมให้บริการกองทุนส่วนบุคคล เอ็กซ์สปริง ทริกเกอร์ฟันด์ 6M ซึ่งการให้บริการกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ หลังจากที่ได้ให้บริการกองทุนส่วนบุคคล เอ็กซ์สปริง ทริกเกอร์ฟันด์ 6M ไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับดีเกินคาด จึงเตรียมให้บริการกองทุน ซึ่งยังคงเป็นกองทุนส่วนบุคคลที่ลงทุนในหุ้นไทย โดยให้บริการรับจัดการลูกค้าขั้นต่ำรายละ 3 ล้านบาท และทวีคูณครั้งละ 1 ล้านบาท ในความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) โดยลูกค้าที่สนใจสามารถแจ้งความประสงค์ระหว่างวันที่ 15-30 กันยายนนี้ ตั้งเป้าหมายผลตอบแทน 7% ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 5 วันทำการ โดยภายในระยะเวลา 6 เดือน ผู้ลงทุนไม่สามารถเลิกสัญญาได้ ทั้งนี้ การกำหนดเป้าหมายดังกล่าวไม่ใช่การรับประกันผลตอบแทนของกองทุนส่วนบุคคล และเป้าหมายดังกล่าวเป็นเป้าหมายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง

“การให้บริการกองทุนส่วนบุคคล เอ็กซ์สปริง ทริกเกอร์ฟันด์ 6M ในช่วงเวลานี้ถือเป็นจังหวะที่เหมาะสม เพราะนักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น จากความเชื่อมั่นหลังสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ผ่อนคลาย และเริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทย ส่งผลให้ภาคธุรกิจเริ่มขับเคลื่อนไปได้ดีขึ้น อย่างไรก็ดี สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยและทั่วโลกก็ยังมีความเสี่ยงจากวิกฤตด้านเงินเฟ้อจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น ดังนั้นการให้บริการรอบนี้ จึงยังคงนำเสนอในรูปแบบของกองทุนส่วนบุคคลเพราะสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ตั้งแต่ 0-100% ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน”

Advertisement

อย่างไรก็ตาม กองทุนส่วนบุคคล เอ็กซ์สปริง ทริกเกอร์ฟันด์ 6M อาจมีความเสี่ยงจากการลงทุน ผู้สนใจลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน และสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดหรือขอรับรายละเอียดของกองทุนส่วนบุคคลได้ที่ 0-2030-3730 ในวันและเวลาทำการตั้งแต่เวลา 08.30-17.30 น.

นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของปี 2565 XSpring AM มีแผนรับบริหารกองทุนส่วนบุคคลเพิ่มเติมอีก เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนให้กับนักลงทุนให้หลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีทั้งการนำเสนอกองทุนในประเทศและนำเสนอกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ เช่น ในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพราะเป็นประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อ อีกทั้งประชาชนมีเงินออมสูง รวมถึงมองหาโอกาสการลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ยังมีกำลังซื้อสูงมีประชากรวัยทำงานในสัดส่วนที่น่าสนใจ จึงมองว่าเป็นโอกาสในการรับบริหารกองทุนส่วนบุคคลทริกเกอร์ฟันด์

ส่วนทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2565 ทาง XSpring AM ยังคงมองว่าจังหวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังมีความน่าสนใจอย่างมาก โดยล่าสุดตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา ส่วนหนึ่งมองว่า มาจากการรับรู้ปัจจัยลบจากการเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรปไปแล้วก่อนหน้านี้ อีกทั้งในประเทศไทยมองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในครึ่งปีหลังจะมีสัญญาณที่ดีขึ้น จึงมองว่ามีโอกาสที่หุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 1,745 จุด

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image