‘ตรีนุช’ สั่ง สพฐ.ลงดาบครูอัตราจ้างคว้าไม้บรรทัดตีเด็กอนุบาล เร่งสกัดความรุนแรงใน-นอกรั้วสถานศึกษา

‘ตรีนุช’ สั่ง สพฐ.ลงดาบครูอัตราจ้างคว้าไม้บรรทัดตีเด็กอนุบาล พร้อมทบทวนมาตรการสกัดความรุนแรงใน-นอกรั้วสถานศึกษา

เมื่อวันที่ 4 เมษายน น.ส ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยกรณีที่มีครูโรงเรียนเเห่งหนึ่ง ใน ต.หนองขวาว อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ใช้ไม้บรรทัดตีศรีษะใบหน้า เเละด้านหลังของ ด.ช. อัครเดช นิสัยกล้า นักเรียนชั้นอนุบาล 3 จนได้รับบาดเจ็บ เมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา ว่า ตนไม่นิ่งนอนใจ และได้รับรายงานจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) สุรินทร์ เขต 1 เเล้ว เบื้องต้นทราบว่าครูผู้ก่อเหตุเป็นครูอัตรจ้าง ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ซึ่งตนได้สั่งการให้  นายอัมพร พินะสา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ติดตามการให้ความช่วยเหลือนักเรียน เเละพิจารณาสั่งให้ครูคนดังกล่าว หยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที พร้อมทั้งติดตามผลการสืบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีความผิดจริง ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ ในลักษณะนี้อีก จึงได้สั่งการให้ เลขาธิการ กพฐ. ซักซ้อมเเนวปฏิบัติในการจ้างครูผู้สอน ว่าจะต้องเป็นผู้ที่ต้องมีใบอนุญาตปฏิบัติการสอนเท่านั้น เเละกำหนดไว้ในสัญญาจ้างด้วยว่า ครูจะต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณผู้ประกอบวิชาชีพครู พร้อมทั้งเน้นย้ำเป็นพิเศษว่า จะต้องปฏิบัติต่อศิษย์ด้วยความเมตตา ไม่กระทำการรุนเเรงต่อศิษย์ ไม่ว่าจะโดยวิธีการใดก็ตาม

รัฐมนตรีว่าการ ศธ. กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณี ที่นายพันยศ เจริญภักดี นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ถูกยิงที่ศีรษะ บริเวณถนนเลี่ยงเมืองพิษณุโลก-สุโขทัย เนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมชั้น จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวรเมื่อวันที่ 2 เมษายนผ่านมา ตนได้ประชุมด่วน ร่วมกับ เลขาธิการ กพฐ. เพื่อหารือถึงมาตราการป้องกัน ไม่ให้เกิดความรุนเเรง ทั้งในเเละนอกสถานศึกษา โดยตนเห็นว่า การเเก้ปัญหาด้วยความรุนเเรง เป็นสิ่งไม่อาจยอมรับได้ ซึ่งเรื่องนี้นอกจากต้องมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างเข้มงวดเเละเป็นธรรมเเล้ว จะต้องกลับมาให้ความสำคัญกับเรื่องจิตวิทยา ซึ่งเป็นพื้นฐานของการรู้จักตนเอง รู้จักวิธีการเเสดงออกที่ถูกต้องเหมาะสม ต่อผู้อื่นเเละสังคม  พร้อมกันนี้ตนได้หยิบยกนโยบาย Youth Counselor ของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่มีการดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหนึ่งเเล้ว มาทบทวนการทำงานใหม่ โดยเพิ่มบทบาทของนักจิตวิทยาประจำสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่ว (สพท.)ประเทศให้มีการทำงานเชิงรุกในสถานศึกษามากขึ้น

น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อว่า กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันต้องให้สถานศึกษา จัดระบบการเฝ้าระวังดูแลนักเรียนกลุ่มเสี่ยงที่จะก่อเหตุทะเลาะวิวาทอย่างรุนเเรง รวมถึงการเข้าป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหาการก่อเหตุรุนเเรง นอกจากนี้ ตนจะมอบหมายให้ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ที่เกี่ยวข้องศึกษาทบทวนระบบการดูเเล ความประพฤติของนักเรียน นักศึกษา ในปัจจุบันว่า มีประสิทธิภาพเพียงใด ควรจะมีการรื้อฟื้นระบบสารวัตรนักเรียนที่ยุบเลิกไป หรือ จะมีระบบอื่นๆที่สร้างความมั่นใจในการดูแลความปลอดภัยของนักเรียน อย่างมีประสิทธิภาพ

Advertisement

“จะมีความเด็ดขาด ในการบังคับใช้กฎหมาย กฎระเบียบของข้าราชการครู เเละบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเป็นบรรทัดฐาน ให้กับกรณีอื่นๆ เเละสร้างความมั่นใจร่วมกันระหว่าง ครู นักเรียน เเละผู้ปกครอง ต่อจุดเน้น เรื่องความปลอดภัยของผู้เรียนว่า การมีผู้เรียนเป็นเป้าหมายของการพัฒนา หรือ Student Centricity ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของรูปเเบบการทำงาน ‘TRUST’ จะต้องเริ่มจากการที่สถานศึกษาทุกเเห่งมีความพร้อมที่จะเป็น ‘บ้านหลังที่สอง’ ให้เเก่เด็กๆทุกคน เพราะถ้า ‘บ้าน’ ยังไม่ปลอดภัยเเล้ว เราก็ไม่อาจที่จะพูดถึงการพัฒนาผู้เรียนในเรื่องอื่นๆได้อีกเลย ” น.ส.ตรีนุช กล่าว

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image